ปธ.กบอ.เผยนายกฯ ลงพื้นที่ตรวจน้ำท่วมทุ่งวันนี้ รับทะเลหนุนทำระบายลงบางปะกงช้า คาดใช้เวลา 2 เดือน โวไม่กระทบหนองจอกแน่
วันนี้ (15 ต.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) กล่าวถึงภาพรวมของสถานการณ์น้ำท่วมในขณะนี้ว่า ขณะนี้พื้นที่ภาคตะวันออกยังคงมีน้ำค้างทุ่งท่าแหอยู่ประมาณ 150 ล้านลูกบาศก์เมตร ขณะที่ทุ่งบางกวงซึ่งเป็นทุ่งใหญ่มีน้ำค้างทุ่งอยู่ประมาณ 720 ล้านลูกบาศก์เมตร รวมทั้งหมด 870 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งน้ำในสองทุ่งดังกล่าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่วันนี้ด้วยตนเอง สำหรับการระบายน้ำออกจากทุ่งจะทำได้จะต้องลดระดับน้ำของแม่น้ำปราจีนบุรี และแม่น้ำบางปะกงให้ต่ำกว่าตลิ่งจึงจะสามารถนำน้ำออกจากทุ่งได้ โดยการที่จะทำให้แม่น้ำบางปะกงมีน้ำในตลิ่งลดลงยังมีปัญหา เนื่องจากขณะนี้น้ำทะเลยังสูงอยู่ โดยธรรมชาติก็ค่อนข้างยาก
นายปลอดประสพกล่าวอีกว่า ในช่วงที่น้ำทะเลลดลงต้องพยายามใช้เครื่องดันน้ำจำนวนมาก จากแม่น้ำบางปะกงลงไป และดันน้ำจากแม่น้ำปราจีนบุรีลงมาแทน ไม่เช่นนั้นน้ำในทุ่งจะค้างอีกเป็นเวลานาน แต่ขณะนี้ยังไม่มีฝนตกลงมาเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม การระบายน้ำออกจากสองทุ่งนั้นน่าจะใช้ระยะเวลาจนถึงเดือน พ.ย. ซึ่งเป็นระยะเวลาประมาณ 2 เดือน
สำหรับอิทธิพลของพายุนารีนั้น ประธาน กบอ.กล่าวว่า มีแนวโน้มจะขึ้นไปทางภาคเหนือ ทำให้ฝนตกใน จ.หนองคายขึ้นไปทางตอนบน เพราะฉะนั้น จ.อุบลราชธานี จ.ศรีสะเกษ จ.ปราจีนบุรี จ.สระแก้ว และ กทม. จะรอดจากพายุดังกล่าวแน่นอน เพราะโดยธรรมชาติเวลามรสุมที่มีความชื้นมากเมื่อมากระทบกับอากาศเย็นจะทำให้อากาศเย็นแห้ง ฉะนั้นจะนำความชื้นอิกไปความรุนแรงของพายุจะเบาบางลง
“เวลานี้จำเป็นต้องระบายน้ำจากทุ่งทางตะวันออกให้เร็วที่สุด ถ้าทำได้ปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออกก็จะหมดไป ยืนยันได้ 100 เปอร์เซ็นต์ว่าการผันน้ำทางภาคตะวันออกใน จ.ฉะเชิงเทราจะไม่ส่งผลกระทบกับพื้นที่ด้านตะวันออกของ กทม. โดยเฉพาะเขตหนองจอก” รองนายกฯระบุ
นายปลอดประสพอธิบายต่อว่า น้ำจากแม่น้ำจากบางปะกงจะไม่เลี้ยวขวาเข้ามาในทุ่งรังสิต และรัฐบาลจะไม่ใช้ทุ่งรังสิตในการระบายน้ำครั้งนี้ จึงมั่นใจได้ว่าน้ำจะไม่เข้าพื้นที่ กทม.แน่นอน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อยู่ในช่วงของการช่วยเหลือเยียวยาและฟื้นฟู โดยนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทยดูแลประชาชนเรื่องของที่อยู่อาศัย และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดูแลเรื่องพื้นที่เกษตรกรรม โดยจะใช้แผนระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีในการดูแลประชาชนเหมือนปี 2554
