กองทัพแถลงไฟใต้ยังรุนแรง ชี้ 3 ประเด็นหลัก เผยพวกเห็นต่างรายงานตัวรัฐแล้วนับพัน ประสานมหาไทย ศอ.บต.ส่งตำรวจอาสาเตรียมเข้าพื้นที่จ่อยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 5 อำเภอตั้งเป้า 19 ธ.ค. ย้ำยังไม่พร้อมเขตปกครองพิเศษ ยันคุยบีอาร์เอ็นต่อ แต่ขอรอไปก่อนข้อเสนอ ดีเดย์พิสูจน์สัญชาติปีหน้า
วันนี้ (27 ก.ย.) ที่กระทรวงกลาโหม เมื่อเวลา 10.00 น. พล.ต.สุรชาติ จิตต์แจ้ง หัวหน้าส่วนประชาสัมพันธ์ และสารสนเทศ สำนักรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม แถลงว่า สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในห้วงที่ผ่านมายังมีความรุนแรงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งการลอบวางระเบิด ลอบยิง ทั้งนี้ สาเหตุของความรุนแรงก็เป็นไปได้ทั้งเรื่องความมั่นคง ภัยแทรกซ้อน รวมทั้งปัญหาส่วนตัว อย่างไรก็ตาม ขอให้สื่อมวลชนสนใจติดตามมาตรการพาคนกลับบ้าน ที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.) ดำเนินการอยู่ จนขณะนี้ได้มีผู้ที่มีความเห็นต่างจากรัฐเข้ามารายงานตัวกันเจ้าหน้าที่ของรัฐประมาณ 1,000 คนแล้ว วันนี้ก็เป็นสถิติตัวเลขที่น่าสนใจ โดยเฉพาะเมื่อวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมามีโครงการพาคนกลับบ้านที่ อ.ยะหา จ.ยะลา มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ในฐานะรอง ผอ.กอ.รมน.เป็นประธาน ซึ่งมีผู้ที่เห็นต่างเข้ามารายงานตัวจำนวน 143 คน
ส่วนกรณีที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามที่ กอ.รมน.เสนอให้ยกเลิกการใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ 5 อำเภอในจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ อ.สุคิริน อ.แว้ง อ.ไม้แก่น อ.กาบัง และ อ.เบตงนั้น พล.ต.สุรชาติกล่าวว่า ได้ให้ทาง กอ.รมน.ประสานการปฏิบัติกับทางกระทรวงมหาดไทย ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต. ในการเตรียมความพร้อมกำลังอาสาสมัคร และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะไปปฏิบัติหน้าที่แทนเจ้าหน้าที่ทหาร เนื่องจากการก่อเหตุรุนแรงที่ลดน้อยลง ซึ่งแสดงให้เห็นความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้เป็นอย่างดีเพราะนโยบายการเมืองนำการทหาร ทั้งนี้ พ.ร.ก.ในตอนนี้ยังไม่ได้ยกเลิก เพียงแต่ ครม.เห็นชอบตามที่ กอ.รมน.เสนอให้พิจารณายกเลิกในโอกาสต่อไป โดยวางเป้าหมายไว้ในวันที่ 19 ธ.ค.จะมีการยกเลิกตามมติ ครม. ในส่วนของ อ.กาบัง อาจจะยกเลิกได้ก่อนวันที่ 19 ธ.ค.
พ.อ.จรูญ อำภา ที่ปรึกษาสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่เห็นด้วยต่อการแบ่งเขตปกครองพิเศษว่า ตามกรอบรัฐธรรมนูญทำไม่ได้อยู่แล้ว ในส่วนของไทยเรามี กทม. และพัทยาเป็นต้นแบบอยู่ ที่ ผบ.ทบ.ไม่เห็นด้วยเพราะท่านมองถึงเรื่องเศรษฐกิจ เมื่อเปรียบเทียบกับรายรับรายจ่าย เมื่อเทียบกับในพื้นที่จึงไม่มีความพร้อมในการตั้งเป็นเขตปกครองพิเศษ ทั้งนี้ สมช.เห็นว่าทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเสนอ ซึ่งเรารับฟังและนำมาประมวลสังเคราะห์ว่าเขตปกครองพิเศษ ในความหมายของบีอาร์เอ็นเป็นอย่างไร ซึ่งทางบีอาร์เอ็นได้ส่งเอกสาร 38 หน้า และได้นำส่ง ใน 4 หน่วยงานในศูนย์ปฏิบัติการคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์แก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปก.กปต.) ไปพิจารณา โดยสอบถามไปยัง นักวิชาการ ประชาชน รวมถึงกฤษฎีกา เพื่อตีความ เมื่อได้ข้อยุติก็จะนำเข้าที่ประชุม ศปก.กปต. เพื่อให้ได้รับฉันทามติ ก่อนจะนำไปให้คณะกรรมการพูดคุยเพื่อสันติภาพ 15 คนไปหารือกับบีอาร์เอ็นต่อไป และย้ำว่าการพูดคุยก็ต้องดำเนินการต่อไป แต่ต้องรอความชัดเจนต่อจากที่ประชุม ศปก.กปต.ก่อน เพราะการดำเนินการต่างๆ ต้องระมัดระวัง และตกผลึก บีอาร์เอ็นต้องรอไปก่อนขอให้สบายใจเพราะทุกอย่างตรวจสอบได้
พ.ท.นพ.เอนก ยมจินดา ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า ทางสถาบันจะมีการดำเนินการตรวจสอบ การทำประวัติบุคคลเก็บสารพันธุกรรม ลายพิมพ์นิ้วมือ 10 นิ้วของเจ้าหน้าที่และประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อประโยชน์ในการอำนวยความยุติธรรม และเป็นการรองรับการจัดตั้งเป็นฐานข้อมูลประชากรแห่งชาติ จากการที่ ศอ.บต.ได้ลงพื้นที่สำรวจใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา พบว่ามีบุคคลหลายสัญชาติที่อยู่ในพื้นที่ในตัวเลขหลักหมื่น และเป็นวัยที่คละเคล้ากันไป โดยทางสถาบันจะทำการพิสูจน์ดีเอ็นเอเพื่อพิสูจน์ทราบสัญชาติไทย โดยตั้งเป้าไว้ที่หลักพันคน ซึ่งเป็นโครงการนำร่องในปี 57
วันนี้ (27 ก.ย.) ที่กระทรวงกลาโหม เมื่อเวลา 10.00 น. พล.ต.สุรชาติ จิตต์แจ้ง หัวหน้าส่วนประชาสัมพันธ์ และสารสนเทศ สำนักรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม แถลงว่า สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในห้วงที่ผ่านมายังมีความรุนแรงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งการลอบวางระเบิด ลอบยิง ทั้งนี้ สาเหตุของความรุนแรงก็เป็นไปได้ทั้งเรื่องความมั่นคง ภัยแทรกซ้อน รวมทั้งปัญหาส่วนตัว อย่างไรก็ตาม ขอให้สื่อมวลชนสนใจติดตามมาตรการพาคนกลับบ้าน ที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.) ดำเนินการอยู่ จนขณะนี้ได้มีผู้ที่มีความเห็นต่างจากรัฐเข้ามารายงานตัวกันเจ้าหน้าที่ของรัฐประมาณ 1,000 คนแล้ว วันนี้ก็เป็นสถิติตัวเลขที่น่าสนใจ โดยเฉพาะเมื่อวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมามีโครงการพาคนกลับบ้านที่ อ.ยะหา จ.ยะลา มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ในฐานะรอง ผอ.กอ.รมน.เป็นประธาน ซึ่งมีผู้ที่เห็นต่างเข้ามารายงานตัวจำนวน 143 คน
ส่วนกรณีที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามที่ กอ.รมน.เสนอให้ยกเลิกการใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ 5 อำเภอในจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ อ.สุคิริน อ.แว้ง อ.ไม้แก่น อ.กาบัง และ อ.เบตงนั้น พล.ต.สุรชาติกล่าวว่า ได้ให้ทาง กอ.รมน.ประสานการปฏิบัติกับทางกระทรวงมหาดไทย ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต. ในการเตรียมความพร้อมกำลังอาสาสมัคร และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะไปปฏิบัติหน้าที่แทนเจ้าหน้าที่ทหาร เนื่องจากการก่อเหตุรุนแรงที่ลดน้อยลง ซึ่งแสดงให้เห็นความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้เป็นอย่างดีเพราะนโยบายการเมืองนำการทหาร ทั้งนี้ พ.ร.ก.ในตอนนี้ยังไม่ได้ยกเลิก เพียงแต่ ครม.เห็นชอบตามที่ กอ.รมน.เสนอให้พิจารณายกเลิกในโอกาสต่อไป โดยวางเป้าหมายไว้ในวันที่ 19 ธ.ค.จะมีการยกเลิกตามมติ ครม. ในส่วนของ อ.กาบัง อาจจะยกเลิกได้ก่อนวันที่ 19 ธ.ค.
พ.อ.จรูญ อำภา ที่ปรึกษาสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่เห็นด้วยต่อการแบ่งเขตปกครองพิเศษว่า ตามกรอบรัฐธรรมนูญทำไม่ได้อยู่แล้ว ในส่วนของไทยเรามี กทม. และพัทยาเป็นต้นแบบอยู่ ที่ ผบ.ทบ.ไม่เห็นด้วยเพราะท่านมองถึงเรื่องเศรษฐกิจ เมื่อเปรียบเทียบกับรายรับรายจ่าย เมื่อเทียบกับในพื้นที่จึงไม่มีความพร้อมในการตั้งเป็นเขตปกครองพิเศษ ทั้งนี้ สมช.เห็นว่าทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเสนอ ซึ่งเรารับฟังและนำมาประมวลสังเคราะห์ว่าเขตปกครองพิเศษ ในความหมายของบีอาร์เอ็นเป็นอย่างไร ซึ่งทางบีอาร์เอ็นได้ส่งเอกสาร 38 หน้า และได้นำส่ง ใน 4 หน่วยงานในศูนย์ปฏิบัติการคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์แก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปก.กปต.) ไปพิจารณา โดยสอบถามไปยัง นักวิชาการ ประชาชน รวมถึงกฤษฎีกา เพื่อตีความ เมื่อได้ข้อยุติก็จะนำเข้าที่ประชุม ศปก.กปต. เพื่อให้ได้รับฉันทามติ ก่อนจะนำไปให้คณะกรรมการพูดคุยเพื่อสันติภาพ 15 คนไปหารือกับบีอาร์เอ็นต่อไป และย้ำว่าการพูดคุยก็ต้องดำเนินการต่อไป แต่ต้องรอความชัดเจนต่อจากที่ประชุม ศปก.กปต.ก่อน เพราะการดำเนินการต่างๆ ต้องระมัดระวัง และตกผลึก บีอาร์เอ็นต้องรอไปก่อนขอให้สบายใจเพราะทุกอย่างตรวจสอบได้
พ.ท.นพ.เอนก ยมจินดา ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า ทางสถาบันจะมีการดำเนินการตรวจสอบ การทำประวัติบุคคลเก็บสารพันธุกรรม ลายพิมพ์นิ้วมือ 10 นิ้วของเจ้าหน้าที่และประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อประโยชน์ในการอำนวยความยุติธรรม และเป็นการรองรับการจัดตั้งเป็นฐานข้อมูลประชากรแห่งชาติ จากการที่ ศอ.บต.ได้ลงพื้นที่สำรวจใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา พบว่ามีบุคคลหลายสัญชาติที่อยู่ในพื้นที่ในตัวเลขหลักหมื่น และเป็นวัยที่คละเคล้ากันไป โดยทางสถาบันจะทำการพิสูจน์ดีเอ็นเอเพื่อพิสูจน์ทราบสัญชาติไทย โดยตั้งเป้าไว้ที่หลักพันคน ซึ่งเป็นโครงการนำร่องในปี 57
