ผ่าประเด็นร้อน
ตามรายงานข่าวที่เปิดเผยออกมาล่าสุด นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เดินทางออกจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ขึ้นเครื่องบินมุ่งหน้าไปต่อที่ประเทศอิตาลี ก่อนที่จะมีเป้าหมายปลายทางสุดท้ายสำหรับทริปท่องยุโรปเที่ยวนี้ อยู่ที่ประเทศเกิดใหม่ คือ “มอนเตเนโกร”
หากย้อนกลับไปพิจารณาผลการเยือนประเทศแรก คือ สวิตเซอร์แลนด์ เสียก่อนว่ามีอะไรที่เ็ป็นโล้เป็นพาย มีแก่นสารอะไรบ้าง ส่วนใหญ่จะออกมาในแนวการเข้าพบกับระดับผู้นำมีการหารือแสดงความขอบคุณที่ซื้อสินค้าจากเรา เช่น ข้าวหอมมะลิประมาณหมื่นตัน รวมทั้งเข้าไป “อ่านโพย” เอ้ย แสดงปาถกฐาเกี่ยวกับการส่งเสริมประชาธิปไตยให้กับองค์การด้านสิทธมนุษยชนของสหประชาชาติที่กรุงเจนีวา หรือการหารือกันเป็นการภายในกับภาคธุรกิจทั้งไทยที่ร่วมคณะไปด้วยกันกับภาคธุรกิจที่โน่นเพื่อแก้ปัญหาอุปสรรคทางการค้า
แต่ถามว่าเป็นการเดินทางที่คุ้มค่าหรือเปล่า เมื่อพิจารณาจากความเคลื่อนไหวและข่าวคราวที่ปรากฏออกมา เพราะส่วนใหญ่เป็นงานทางพิธีการธรรมดา ไม่ได้เกิดมรรคผลอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน แต่ถ้าถามว่าที่สวิสมีวิวทิวทัศน์ โรแมนติกหรือไม่ นี่สิ ใช่เลย เหมาะแก่การถ่ายรูป-ชอปปิ้งเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับภารกิจการเยือนอิตาลี ตามข่าวที่มีการเปิดเผยออกมาล่วงหน้าก็ไม่ต่างกัน อาจจะเพิ่มขึ้นมาในลักษณะการลงนามของภาคเอกชน ที่เกี่ยวกับธุรกิจชิ้นส่วน การติดตั้งแก๊สเอ็นจีวี และแก๊สแอลพีจีในรถยนต์ ซึ่งระดับความสำคัญมันน่าจะป็นแค่ระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเท่านั้น คงไม่ต้องถึงขั้นทีมใหญ่ที่มีนายกรัฐมนตรีนำคณะไปเยือนหรอก แต่หากพิจารณาอย่างเข้าใจในเมื่อไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน ก็ต้องเค้นมาโชว์กันจนได้แหละน่า อย่างน้อยเพื่อให้ดูแล้วสมเหตุสมผล ให้ดูแล้วคุ้มค่ากับการต้องเสียงบประมาณก้อนใหญ่
อย่างไรก็ดี สำหรับภารกิจของนายกรัฐมนตรีที่น่าติดตามก็คือ “ความสนใจในเรื่องแฟชั่น” ที่ได้รับการเปิดเผยมาจากโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ธีรัตถ์ รัตนเสวี ว่านายกฯ ยิ่งลักษณ์ เป็นประธานในการออกแบบแฟชั่นที่ใช้ผ้าไหมไทยเป็นวัตถุดิบ อ้างว่าเป็นการเปิดตลาดผลิตภัณฑ์ผ้าไทย ซึ่งก็ไม่อยากขัดคอ แต่สิ่งที่ต้องพิจารณากันก็คือนี่มันเป็นงานการเจรจาการลงนามระดับผู้นำ ซึ่งมันไม่ต่างจากงาน “รูตีน” ที่มีอยู่เป็นประจำ ไม่ต่างจากการเดินสายเปิดป้ายที่ทำอยู่เป็นปกติในประเทศอยู่แล้ว หรือแม้จะเป็นการกล่าวเชิญชวนนีกธุรกิจอิตาลีให้เข้ามาลงทุนในไทย ไม่ว่าจะป็นเอสเอ็มอี ระบบขนส่ง ก็ว่ากันไปเหมือนกับว่าเมื่อเดินทางไปแล้วให้ดูดเหมือนว่าได้ทำงานให้คุ้มค่า เท่านั้นเอง
แต่สิ่งที่น่าจับตาที่สุดก็คือ การเดินทางไปมอนเตเนโกร ที่นายกรัฐมนตรีเคยกล่าวว่าเป็น “กำหนดการที่แถม” เข้ามาระหว่างการเดินทางไปเยือนยุโรปคราวนี้ แต่หลายคนคงเชื่อว่านี่จะเป็นตรงกันข้ามก็คือที่มอนเตเนโกรนี่แหละเป็น “วาระหลัก” มากกว่า เพราะหากพิจารณาจากศักยภาพของประเทศนี้ที่ถือว่าเป็นประเทศเกิดใหม่ที่เพิ่งแตกตัวมาจากยูโกสลาเวีย มีประชากรไม่ถึง 1 ล้านคนถือว่ายากจนที่สุด มีข่าวคอรับชั่นมากที่สุด ที่ผ่านมาประธานาธิบดีของประเทศนี้ใช้วิธี “ขายแผ่นดิน” ให้กับนักลงทุนต่างชาติจากไหนก็ได้ ไม่จะร่ำรวยมาจากธุรกิจมืด อะไรก็ได้ไม่เกี่ยงขอให้นำเงินมาลงทุนในอัตราที่กำหนดก็จะสัญชาติ ได้สิทธิพิเศษในความเป็นพลเมืองของประเทศนั้น ซึ่ง ทักษิณ ชินวัตร ก็ไม่พลาดโอกาสนี้ ไปลงทุนซื้อคฤหาสน์ไว้ที่นั่นและเคยมีหลักฐานภาพถ่ายพร้อมคนในครอบครัวมาแล้ว
ถามว่าถ้าคิดว่าต้องการใช้เกิดผลประโยชน์ที่คุ้มค่า เป็นการเดินทางไปเปิดตลาดใหม่ในย่านยุโรปตะวันออกที่เกิดใหม่ก็ต้องไปเยือนประเทศอื่นด้วย อย่างเซอร์เบีย บอสเนีย สโลเวเนีย เป็นต้น ประเทศเหล่านี้ถือว่าเป็นประเทศใหญ่ มีความสำคัญในระดับภูมิภาคหากเทียบกับมอนเตเนโกรแล้วถือว่า “กระจอกมาก” ไม่คุ้มค่าเครื่องบิน และอย่างที่ทราบข่าวก็คือการเดินทางดวยเครื่องบินยังยากลำบาก เพราะต้องเปลี่ยนเป็นเช่าเครื่องบินขนาดเล็กไปที่นั่นแทน อ้างว่าใช้เครื่องการบินไทยไปลงไมาได้ เพราะลำใหญ่เกินไป นี่ก็แสดงให้เห็นว่าที่บอกว่า “เป็นวาระแถม” นั่นน่าจะไม่จริง น่าจะเป็นวาระ “เจาะจงและดิ้นรนจะไป” มากกว่า
หากพิจารณาจากความเป็นจริง และวาระที่จะมีการลงนามระหว่างกันรับรองว่านี่ไม่ใช่เป็นการเดินทางไปเยือนแบบ “นอกหมาย”แน่นอน เพราะมีการลงนามเกี่ยวกับการยกเว้นวีซ่าให้กับผู้ ที่ถือหนังสือเดินทางทูต (เล่มสีแดง) และหนังสือเดินทางสำหรับข้าราชการ อ้างว่าเพื่อความสะดวกในการสร้างวามสัมพันธ์ระหว่างกัน ซึ่งสำหรับประเทศมอนเตเนโกรที่เล็กที่สุดและมีมูลค่ากับไทยแต่ละปีไม่ถึงสิบล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีนักท่องเที่ยวเข้ามาไทยไม่ถึงสองร้อยคน แค่นี้มันก็มองถึงความผิดปกติได้อย่างชัดเจนว่านี่คือการเอื้อประโยชน์ส่วนตัวให้กับ ทักษิณ ชินวัตร หรือเปล่า ทุกอย่างมันน่าสงสัยและมองออกมาแบบนั้นจริงๆ เพราะแม้ว่าในความเป็นจริงสำหรับทักษิณ อาจจะไม่ต้องใช้ประโยชน์จากการยกเว้นวีซ่าดังกล่าว แต่ความหมายมมกกว่านั้นคือ การ “โชว์พาวเวอร์” ให้ผู้นำมอนเตฯ ได้เห็นว่า “นี่ไงสั่งผู้นำประเทศไทยให้ทำอะไรก็ได้ ดังนั้น ต่อไปนี้ถ้าจะติดต่อธุรกิจอะไรก็สามารถผ่านผมได้โดยตรง” อะไรประมาณนี้แหละ ต่อไปมันก็เหมือนกับการเปิดโล่ง โดยเฉพาะการใช้ฐานะตัวแทนของประเทศไทยเจรจาธุรกิจได้โดยตรง
ที่สำคัญสำหรับประเทศมอนเตเนโกรที่เป็นประเทศปากทางเข้ายุโรป ที่แม้จะด้วยพัฒนา ยากจน แต่ก็สามารถใช้ประโยชน์จากความด้อยพัฒนาดังกล่าวนี่แหละหาผลประโยชน์ในภายหน้าได้อย่างมหาศาล เหมือนกับหลายประเทศในโลก ที่เขาเดินทางไปทั่ว
ดังนั้นการเดินทางไปเยือนยุโรปของนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คราวนี้นอกจากได้ประโยชน์ไม่คุ้มค่ากับประเทศชาติและประชาชนส่วนใหญ่แล้ว ยังต้องสิ้นเปลืองงบประมาณ เพราะพิจารณาจากเส้นทางและเนื้องานที่ออกมาให้เห็น มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะมองว่านี่คือ “วาระส่วนตัว” สร้างผลประโยชน์ให้กับทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว เท่านั้น!!