xs
xsm
sm
md
lg

หลากทัศนะ หลัง “แกนนำพันธมิตรฯ” ประกาศยุติบทบาท

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการ - “สุริยะใส-วสันต์” แสดงความเห็นถึงเวลาจัดขบวนใหม่การเคลื่อนไหวภาคประชาชน หลังแกนนำพันธมิตรฯ ยุติบทบาท ชี้เป็นการปรับตัวที่ฉลาดเพราะการเมืองบนถนนซับซ้อนขึ้น ยอมรับสร้างคุณูปการให้ภาคประชาชนมหาศาล “วิมล” ชี้ พธม.เป็นเสือซุ่ม “มัลลิกา-สมจิตต์” ขอบคุณ ชี้พันธมิตรฯ คือการตื่นรู้ของประชาชนที่สวยงาม และจะนำสู่การเปลี่ยนแปลงต่อไป

หลังพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ออก แถลงการณ์ฉบับที่ 5/2556 เรื่องแถลงการณ์ฉบับสุดท้าย ในช่วงค่ำของวันศุกร์ที่ 23 ส.ค. 2556 โดยแกนนำพันธมิตรฯ ทั้งรุ่นที่ 1 และรุ่นที่ 2 จำนวน 8 คน ประกอบไปด้วย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง, นายสนธิ ลิ้มทองกุล, นายพิภพ ธงไชย, นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์, นางมาลีรัตน์ แก้วก่า, นายศรัณยู วงศ์กระจ่าง, นายศิริชัย ไม้งาม และนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ได้ร่วมกันออกแถลงการณ์ผ่านทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี (อ่าน : แถลงการณ์ฉบับที่ 5/2556 เรื่องแถลงการณ์ฉบับสุดท้าย)

นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน และอดีตผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ระบุผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว 2 ข้อความ คือ @Suriyasai “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) แถลงยุติบทบาท!!!” และ “ก่อนหน้านี้พันธมิตรฯ เคยยุติบทบาทไปแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 22 ก.ย. 49 และรวมตัวอีกครั้งเดือน มี.ค. 51 มายุติอีกครั้งในวันนี้”



ขณะเดียวกัน นายสุริยะใสก็ได้ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมกับทีมข่าว ASTVผู้จัดการ ว่าการตัดสินใจของแกนนำพันธมิตรฯ เป็นเรื่องที่ต้องยอมรับ ทั้งถือเป็นความชาญฉลาดของแกนนำที่จะกักตุนพลังตรงนี้เอาไว้ เนื่องจากหากเราจะเอาพลังก้อนสุดท้าย เอามวลชนไปเสี่ยงบนท้องถนนกับปัจจัยที่มีความซับซ้อนขึ้นก็จะเป็นอันตรายและไม่มีความคุ้มค่า

“พันธมิตรฯ อาจจะหยุดการต่อสู้รุกรบ แต่ยังเคลื่อนไหวทางปัญญา การก่อตัวขึ้นของพันธมิตรฯ ได้สร้างพลังทางอุดมการณ์และชุดความคิดที่คนกลุ่มหนึ่งซื้อ ซึ่งคนกลุ่มนี้มีจำนวนไม่น้อย เพียงแต่เขาไม่อยากให้แกนนำยุติบทบาท อยากให้ถือธงนำต่อ แต่ผมเห็นด้วยว่าการผูกตัวไว้กับเกมใหญ่ กระดานใหญ่ คือ การปฏิรูปการเมือง มากกว่าการเปลี่ยนขั้วการเมืองดีกว่าไปเสี่ยงกับการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง อย่างไรก็ตามต้องอธิบายมวลชนให้เข้าใจมากกว่านี้ เพราะมีคนช็อก และตกใจกับการตัดสินใจครั้งนี้จำนวนไม่น้อย จึงมีความจำเป็นที่อดีตแกนนำที่จะต้องอธิบายเรื่องเหล่านี้ให้ชัดเจน เรื่องเงื่อนไข และโจทย์ใหม่

แต่ถ้าดูจนจบรายการ ไม่ได้ฟังแค่แถลงการณ์ในช่วงต้น ผมคิดว่าเคลียร์นะ และไม่ใช่พันธมิตรฯ ไม่เคยยุติบทบาท แต่เคยยุติไปแล้ว นอกจากนี้ การที่พันธมิตรฯ ไม่เคยผูกตัวเองว่าจะเป็นองค์กรทางการเมือง ผมกลับคิดว่าการรักษาสัมพันธภาพแบบนี้มันงดงาม และยั่งยืนกว่า”
นายสุริยะใสให้ความเห็น พร้อมกล่าวด้วยว่า “แกนนำอาจจะพักรบ แต่ไม่ได้พักคิด อย่างที่พี่พิภพว่า และการขับเคลื่อนทางความคิดจะเข้มข้นมากขึ้น ผมเห็นว่าคำพูดของคุณสนธิในวันนี้ที่ว่า ‘ถอยมาก้าวหนึ่ง ฟ้าสดใส’ ถือเป็นไฮไลต์ในวันนี้ก็ว่าได้”

อดีตผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรฯ กล่าวต่อว่า การที่พันธมิตรฯ จะปรับตัวจากองค์กรเคลื่อนไหวทางมวลชนกลายเป็นองค์กรที่ให้ปัญญากับประชาชนมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นแกนนำหรือสื่อในเครือเอเอสทีวีผู้จัดการถือเป็นเรื่องในอนาคต เป็นบทบาทที่ต้องทำต่อ เพราะมวลชนส่วนใหญ่เท่าที่ตนได้ยินมาก็เข้าใจ เข้าใจถึงสถานะของแกนนำและมวลชนที่จะสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ และสบายใจ ส่วนโจทย์และความท้าทายต่อไปที่อดีตแกนนำพันธมิตรฯ น่าจะทำต่อคือ ไม่ต้องเป่านกหวีดอะไร จัดอภิปราย ถ่ายทอดสด กระนั้นความท้าทายของการปรับบทบาทดังกล่าวของอดีตแกนนำพันธมิตรฯ ก็ยังมีอยู่ โดยที่สำคัญคือ ในช่วงสถานการณ์แตกหัก 2-3 เดือนต่อนี้ไป ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายนิรโทษกรรมที่อยู่ในสภา, การแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือ พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านจะบีบให้อดีตแกนนำพันธมิตรฯ ต้องทำอะไรหรือไม่ อย่างไร

ส่วนกรณีที่มีแกนนำคนเสื้อแดงอย่าง “บก.ลายจุด” นายสมบัติ บุญงามอนงค์ แสดงความเห็นต่อการยุติบทบาทของแกนนำพันธมิตรฯ ว่า “หมดยุคการเมืองบนถนนแล้ว” นายสุริยะใสให้ความเห็นว่า ความเห็นดังกล่าวถือเป็นความตื้นเขิน เพราะวันนี้ยังไม่หมดยุคการเมืองบนท้องถนน เนื่องจากสถานการณ์การเมืองปัจจุบันชี้ให้เห็นว่า การเมืองบนท้องถนนเป็นพลังก้อนสุดท้ายของการเปลี่ยนผ่านไปสู่การเมืองยุคใหม่ เพราะการเมืองในสภาไม่ใช่คำตอบของประเทศอีกต่อไป และการเมืองในสภาไม่สามารถไปต่อได้แล้ว แต่ทว่าการขับเคลื่อนการเมืองบนท้องถนนในยุคนี้ต้องทำการบ้านมากกว่าเดิม

ส่วนความเห็นของนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักวิชาการเสื้อแดงอีกคนหนึ่งที่ติดตามการแถลงข่าวของพันธมิตรฯ อย่างใกล้ชิด และพยายามออกมาเปรียบเทียบขั้วการเมืองที่มักถูกยกมาเปรียบเทียบกับพันธมิตรฯ เสื้อเหลือง ซึ่งก็คือ แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เสื้อแดงว่า เสื้อแดง หรือ นปช.นั้นเป็นลักษณะเป็นองค์กรจัดตั้งของพรรคการเมืองอย่างชัดเจน โดยมีลักษณะเป็น “แขนขา” ของพรรคการเมืองมากกว่า และดังนั้นก็มีลักษณะขึ้นต่อพรรคการเมืองมากกว่า นายสุริยะใสให้ความเห็นว่า ความเห็นดังกล่าวนั้นมีส่วนจริง และมีความแหลมคมในระดับหนึ่ง

“ความสง่างามของพันธมิตรฯ ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา เป็นพลังของภาคประชาชนล้วนๆ ไม่ได้เป็นแขนขาของพรรคการเมือง คนเสื้อเหลืองต้องภูมิใจ เราต้องภูมิใจว่าเราไม่ได้ทำงานรับใช้พรรคการเมือง เราชูธงปฏิรูปการเมือง ซึ่งเสื้อแดง นปช.ก็ต้องทบทวนตัวเองว่าทำเพื่อใคร พรรคเพื่อไทย หรือทักษิณ ซึ่งเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า นปช.ยังก้าวไม่พ้นการครอบงำของระบอบทักษิณ

เสื้อเหลืองจริงๆ แล้วเป็นเพียงนามธรรม การประกาศยุติบทบาทของแกนนำพันธมิตรฯ ในวันนี้ไปตบหน้านักวิชาการเสื้อแดงที่กล่าวหาว่า พันธมิตรฯ ว่าเป็นพลังอำนาจนิยม เป็นแขนขาของการเมืองวิถีเก่าได้เลย เพราะจริงๆ แล้วพันธมิตรฯ ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งที่เราทำมาเราเป็นการเมืองภาคประชาชนจริงๆ ทั้งยังเป็นการสถาปนาการเมืองของภาคประชาชนอย่างแท้จริงขึ้นมาด้วย

มวลชนเสื้อเหลืองต้องขอบคุณการตัดสินใจของแกนนำ และแกนนำก็ต้องขอบคุณมวลชน แต่ผมยังมีความหวังว่าแกนนำทั้งหมด 4 คนจะได้กลับมารวมตัวกันอีก”
นายสุริยะใสกล่าวทิ้งท้าย



นายวสันต์ สิทธิเขตต์ ศิลปินเจ้าของรางวัลศิลปาธร พ.ศ.2550 และนักเคลื่อนไหวทางสังคมซึ่งขับเคลื่อนการปฏิรูปการเมืองกับพันธมิตรฯ มาตั้งแต่แรก ได้แสดงความเห็นเป็นคำกลอนผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Vasan Sitthiket ว่า

ถึงเวลาที่ต้องจัดขบวนใหม่
กวาดล้างรัฐจัญไรให้สิ้นสูญ
ถึงเวลาประชาชนเกื้อกูล
เพื่อเพิ่มพูนเป็นพลังสร้างสังคม!!!!!

แม้แกนนำยุติบทบาทนำ
รัฐโจรร้ายเหี้ยระยะมันยังอยู่
เลือดพันธมิตรยังพล่านในหัวใจกู
เร็วเร่งรวมขบวนสู้ศัตรูเรา!!!!!!




นายวิมล ไทรนิ่มนวล นักเขียนรางวัลซีไรต์ ได้แสดงความเห็นเป็นทัศนะที่ชื่อว่า "เสือซุ่ม" ซึ่งมีใจความว่า

เมื่อ พธม. ประกาศยุติบทบาทตัวเอง ก็มีทั้งคนดีใจและเสียใจ มีทั้งคนสะใจ เย้นหยัน ซ้ำเติม และก็มีคนให้กำลังใจ ปลอบใจชาว พธม.

ผมไม่ใช่คอการเมืองเรื่องกลยุทธ์ แต่ผมเห็นภาพว่า มีทัพใหญ่กำลังเคลื่อนใกล้ตัวเมืองเข้ามา แถมมีลูกปืนใหญ่ยิงเข้ามาเรื่อยๆ พธม. จึงตะโกนถาม ปชป. ว่า "เฮ้ย! มึงจะทุบหม้อข้าวหม้อแกง" ร่วมกันรบกับกูไหม? แบบเดิมพันกันเลย

แต่ ปชป. พอใจที่จะรบในแบบของตัวต่อไป เพราะเห็นว่าไม่จำเป็นต้องทุบหม้อข้าวหม้อแกง อาศัยการเจรจาต่อรองถ่วงเวลาไปเรื่อยๆก็ได้ แถมยังจะมีโอกาสลากไส้ศัตรูออกมาประจานให้ชาวบ้านชาวเมืองรู้อีก พวกเขาอาจจะออกมาร่วมรบเมื่อถึงเวลาข้าศึกประชิดตัวก็ได้ หรือหากรบยืดเยื้อไปเรื่อยๆ เดี๋ยวถึงฤดูน้ำหลาก ทัพศัตรูก็จะโดนน้ำท่วม ก็ย่อมจำเป็นต้องถอยทัพ ครั้งหน้าเมื่อยกทัพกลับมาใหม่ ชาวบ้านชาวเมืองเห็นคุณงามความสามารถของตนก็จะร่วมรบด้วย และจะชนะเข้าบริหารบ้านเมืองได้อีกครั้ง..ทีนี้ละมึง...

ส่วน พธม. ก็คิดว่ากูออมกำลังไว้ดีกว่า ปล่อยให้มึงรบไป เพราะรบชนะ บ้านเมืองก็ไม่ได้ประโยชน์ ที่ได้ประโยชน์น่ะ ปชป....พอลูกกระสุนปืนใหญ่ยิงเข้ามาถี่เข้า พธม. ก็หมอบ ปล่อยให้ลูกกระสุนเหล่านั้นตรงเข้าใส่ ปชป. คอยดูผลว่า ปชป.ว่าจัดการอย่างไร

พธม. หมอบ ก็ไม่ได้หมอบแบบ "หมอบราบคาบแก้ว" แต่หมอบอย่างเสือซุ่ม รอเวลาที่เหยื่ออ่อนกำลังหรือเผลอ ก็จะโผนเข้าใส่เหยื่อ...

ความตั้งใจนี้จะบรรลุผลหรือไม่ ก็ขึ้นกับปัจจัยอื่นๆด้วย คือ ๑. เหยื่อในวันหน้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ๒. ซุ่มนานไปอาจจะขี้เกียจลุกขึ้นมา ซ้ำบริวารก็ลดน้อยถอยห่างไปอีก หรือ ๓. ถึงอยากจะลุก แต่ว่าเหยื่อแข็งแกร่งขึ้นทุกที เพราะตีเอาเสบียงไพร่พลของ ปชป. มาเป็นของตนได้ จึงฮึกเหิมยิ่งขึ้น ทีนี้ก็ลำบากแล้วละ คือ จะซุ่มต่อก็จะโดนเหยื่อรุกไล่...(ดูสารคดี เห็นฝูงควายป่าไล่เสื้อโครงกระเจิงก็มีออกบ่อย) ครั้นจะลุกขึ้นก็กลัวจะโดนรุมขวิดกระเจิง..และแล้วก็จะถึงจุดแตกหัก!

ผมคิดเพ้อเจ้อไปเองนะครับ..อยากให้กำลังใจชาว พธม. ที่คิดว่าแกนนำยอมแพ้ และก็ขอให้ชาว ปชป. ชนะ

(แม้ผมไม่ได้เลือกฝ่าย...แต่ผมก็เลือกความผิดชอบชั่วดี ใครไม่เอาระบอบทักษิณ ผมก็ถือว่าอยู่ฝ่ายเดียวกันหมด มีเพื่อนร่วมทางดีกว่าไม่มี...ผมคิดแบบกลยุทธ์เสริมชั้นซ้อนเชิงไม่เป็น)


ขณะที่ พันธมิตรฯ บางส่วนก็ได้แสดงความเห็นผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ เช่น Honey Lochanachai

“แม้จะยุติบทบาทของแกนนำพันธมิตร แต่ทุกท่านก็ไม่ได้ยุติการเป็นพันธมิตร คือการเป็นผู้ที่พร้อมเสียสละเพื่อชาติบ้านเมืองเสมอ

“เมื่อแกนนำทุกท่านถูกพันธนาการ การยุติบทบาทแกนนำลงเสีย ก็เป็นการปลดโซ่ตรวนที่ผูกพันกันเพื่อให้พี่น้องได้ออกไปทำหน้าที่เพื่อบ้านเมืองได้อย่างเต็มกำลังความสามารถ

“การเสียสละอัตตาตัวตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เพื่อชาติบ้านเมือง เป็นยุทธวิธีอันกล้าหาญของผู้นำอย่างแท้จริง
ฉันภูมิใจในความเป็นพันธมิตรและมั่นใจในการทำหน้าที่เพื่อชาติบ้านเมืองที่ฉันรักต่อไป และเชื่อมั่นว่าพันธมิตรแท้ทุกคนจะก้าวเดินต่อไปอย่างกล้าหาญและมีธรรมนำหน้าเสมอ




น.ส. มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กMallika Boonmeetrakool เรียนนายสนธิ และพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ระบุว่า ตนในฐานะพลเมืองไทยขอขอบคุณสิ่งที่พันธมิตรฯ ได้ทำเพื่อแผ่นดิน และขอชื่นชมวีรกรรมที่ผ่านมาซึ่งถือเป็นตำนานในประวัติศาสตร์ของชาติ

เรียน คุณสนธิ และ พี่น้องพันธมิตรประชาชน

ดิฉัน ในฐานะพลเมืองไทย ขอขอบคุณทุกท่านทั้งคณะต่อทุกสิ่งที่ได้ทำเพื่อชาติเพื่อแผ่นดินมาจนเป็นตำนาน เป็นประวัติศาสตร์ แม้มันอาจจะไม่ชำระล้างได้ดังใจทุกคนทั้งหมดก็ตาม สิ่งที่พวกท่านได้ทำกันมาถือว่าเป็นคุณาประโยชน์ต่อชาติต่อแผ่นดิน และไม่ว่าใครฝ่ายไหนจะสงสัยประการใดก็ตาม ดิฉันรู้สึกชื่นชมวีรกรรมที่ผ่านมาและอยากขอบคุณ

สำหรับดิฉันและคนจำนวนไม่น้อยรู้สึกเข้าใจ เห็นใจในสถานการณ์ที่ทุกท่านต้องเผชิญ เข้าใจการประกาศยุติบทบาทของคณะพวกท่านในวันนี้ค่ะ

ด้วยความนับถือ

มัลลิกา บุญมีตระกูล
รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์


ด้าน น.ส.สมจิตต์ นวเครือสุนทร ผู้สื่อข่าวสายการเมืองของช่อง 7 ก็โพสต์ข้อความต่อการประกาศยุติบทบาทของแกนนำพันธมิตรฯ เช่นกันโดยระบุว่า

จุดจบคือ เริ่มต้น
หวังผลชาติเดินหน้า
ต่างวิธีขอเลิกด่า
ให้ประชาตัดสินเอง
คุณูปการที่เคยทำ
เดินนำสู้รัฐข่มเหง
หาญกล้าไม่ยำเกรง
บรรเลง สู้ อหิงสา
พันธะแห่งมิตรไทย
เหนื่อยเพียงใดสู้ฟันฝ่า
แทนคุณชาติด้วยศรัทธา
หลั่งน้ำตาเลือดไหลริน
จุดจบคือ เริ่มต้น
เลิกสับสนชนตัดสิน
ต่างทำเพื่อแผ่นดิน
สู้แค่สิ้นลมหายใจ

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยคือการ "ตื่นรู้" ของประชาชนที่สวยงามที่สุด และจะยังคงงอกงามต่อไปด้วยการเบ่งบานทางปัญญาของคนไทย ที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลง




ประวัติพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (ฉบับย่อ)

ความไม่ชอบมาพากลในการบริหารประเทศของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยเฉพาะการเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจของตระกูลชินวัตร การทุจริตคอรัปชั่นทั้งโครงการกล้ายาง การจัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด ซีทีเอ็กซ์ 9000 การก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจโดยการนำสาธารณูปโภคเข้าตลาดหลักทรัพย์ ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ การคุกคามและแทรกแซงสื่อมวลชน หางเส้นสุดท้ายคือการขายหุ้นชินคอร์ปฯ ให้กับกองทุนเทมาเส็กของประเทศสิงคโปร์ ได้รับกำไรกว่า 73,000 ล้านบาท โดยไม่เสียภาษีแม้แต่บาทเดียว นำไปสู่การเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2549 ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ภายใต้ชื่อ องค์กรพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพื่อขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่หมดความชอบธรรมในการบริหารประเทศ เกิดปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และจริยธรรม นำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ร่วมพร้อมด้วย คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) นักวิชาการ นักธุรกิจภาคเอกชน ผู้ใช้แรงงาน เกษตรกร คนจนในเมือง องค์กรพัฒนาเอกชน นิสิตนักศึกษา

โดยเปิดตัวในการชุมนุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2549 ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า หลังก่อนหน้านี้ นายสนธิได้นำการชุมนุมครั้งแรก ภายใต้หัวข้อ “ภารกิจกู้ชาติ 4 กุมภาพันธ์ 2549” ประกาศเจตนารมณ์ของประชาชน ปฏิเสธรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมกับออกแถลงการณ์พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ฉบับที่ 1/2549 เรื่องการนัดหมายชุมนุมใหญ่ ณ ท้องสนามหลวง ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2549 ประกาศเป้าหมายเป็นสัจวาจาว่า “จนกว่าจะได้รับชัยชนะ”หรือ “ไม่ชนะไม่เลิก”

ทั้งนี้ มีการแต่งตั้งคณะผู้ตัดสินใจสูงสุด เพื่อร่วมกันกำหนดและตัดสินใจการเคลื่อนไหวใดๆ ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจำนวน 5 คน ได้แก่ พลตรีจำลอง ศรีเมือง นายพิภพ ธงไชย นายสนธิ ลิ้มทองกุลนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ และนายสมศักดิ์ โกศัยสุข กระทั่งในการชุมนุมที่ท้องสนามหลวงเริ่มต้นขึ้นแบบปักหลักพักค้าง ภายใต้หัวข้อ "เอาประเทศไทยของเราคืนมา" ก่อนที่จะเคลื่อนขบวนครั้งใหญ่ไปยังด้านข้างทำเนียบรัฐบาล และหน้าศูนย์การค้าสยามพารากอน ก่อนที่จะสลายการชุมนุมที่หน้าสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2549 รวมระยะเวลา 33 วัน

พ.ต.ท.ทักษิณเลือกที่จะใช้วิธียุบสภาเพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่ แต่พรรคประชาธิปัตย์ พรรคมหาชน และพรรคชาติไทย มีมติร่วมกันไม่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง เพราะปัญหาเกิดขึ้นจากตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณเพียงคนเดียว และการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งเท่ากับรับรองหรือฟอกตัวให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 พบว่ามีบัตรไม่ประสงค์ลงคะแนนและบัตรเสียรวมกันถึง 10 ล้านคน พรรคไทยรักไทยที่ลงสมัครพรรคเดียวพ่ายแพ้หลายพื้นที่ รวมทั้งมีการฉีกบัตรเลือกตั้ง กระทั่งศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ

การเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหยุดลงชั่วคราว จากเดิมที่จะนัดชุมนุมในวันที่ 20 กันยายน 2549 อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ยึดอำนาจจาก พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อคืนวันที่ 19 กันยายน 2549 ด้วยเหตุผล 4 ประการ ได้แก่ ปัญหาความแตกแยกทางสังคม การแทรกแซงองค์กรอิสระ การทุจริตคอร์รัปชันและการจาบจ้วงพระมหากษัตริย์ นำไปสู่การตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) ตรวจสอบคดีทุจริตของ พ.ต.ท.ทักษิณ การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และการลงประชามติ คดีที่พรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็กลงสมัคร ตุลาการรัฐธรรมนูญได้สั่งยุบพรรค ตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค 111 คน

ในปี 2551 รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช แห่งพรรคพลังประชาชน นอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ มีความพยายามที่จะแก้รัฐธรรมนูญเพื่อฟอกความผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้จัดการชุมนุมคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2551 ก่อนที่จะเดินขบวนปักหลักพักค้างที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ยกระดับการชุมนุมสู่การขับไล่รัฐบาลนายสมัคร กระทั่งใช้วิธียุทธการไทยคู่ฟ้า เคลื่อนไหวไปยังสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที กระทรวงต่างๆ และทำเนียบรัฐบาล

หลังรัฐบาลนายสมัครพ้นจากตำแหน่ง ในข้อหารับเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์ชิมไปบ่นไป และเสียงข้างในสภาเลือกให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี วันที่ 7 ตุลาคม 2551 กำลังตำรวจปราบจราจลใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ชุมนุมต่อต้านการแถลงนโยบายของรัฐบาลนายสมชายที่หน้ารัฐสภา มีการใช้ระเบิดแก๊สน้ำตาและอาวุธอย่างโหดเหี้ยม ทำให้น้องโบว์ หรือนางสาวอังคณา ระดับปัญญาวุฒิ และสารวัตรจ๊าบ หรือ ร.ต.ท.เมธี ชาติมนตรี ตำรวจนอกราชการ เสียชีวิต

จากนั้นในการชุมนุมตลอดทั้งคืนมีการยิงระเบิด M79 ใส่พื้นที่ชุมนุม ทำให้มวลชนบาดเจ็บล้มตาย มากขึ้น กระทั่งมีการทวงถามความรับผิดชอบจากนายสมชายที่กลับจากต่างประเทศ นำไปสู่การชุมนุมที่ท่าอากาศยานดอนเมือง เพื่อยับยั้งไม่ให้มีการประชุมคณะรัฐมนตรี และการชุมนุมเฝ้ารอนายสมชายที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กระทั่งจำต้องปักหลักพักค้าง ในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญมีคำพิพากษายุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย ในคดีกรรมการบริหารพรรคซื้อเสียงเลือกตั้ง ตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค 109 คน การชุมนุมจึงยุติลงเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2551 รวมระยะเวลา 193 วัน

ในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จากพรรคประชาธิปัตย์ กรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่ยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ. 2543 (เอ็มโอยู 43) อาจทำให้ประเทศไทยเสียดินแดน พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงได้มีข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ได้แก่ ยกเลิกเอ็มโอยู 43, ผลักดันชาวกัมพูชาที่อพยพและรุกล้ำเข้ามาอาศัยและสร้างสิ่งก่อสร้างในเขตแดนไทย และให้ถอนตัวจากการเป็นสมาชิกคณะกรรมการมรดกโลก แต่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีการตอบสนอง

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงได้จัดการชุมนุมที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2554 โดยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ได้นำพระราชบัญญัติรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรมาใช้เพื่อสกัดกั้นการชุมนุม กระทั่งในช่วงที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ยุบสภาและให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้มีมติในการรณรงค์โหวตโน และออกป้ายหาเสียง “อย่าปล่อยสัตว์เข้าสภา” เป็นสโลแกนการรณรงค์โหวตโน ทั้งนี้ รัฐบาลได้ตัดสินใจถอนตัวออกจากสมาชิกมรดกโลกในการประชุมครั้งที่ 35 ที่ประเทศฝรั่งเศส กระทั่งยุติการชุมนุมเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2554 รวมระยะเวลา 158 วัน

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2555 ได้มีการประชุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั่วประเทศ ณ สวนลุมพินี โดยมีฉันทานุมัติเห็นชอบปรากฏเป็นแถลงการณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาชนเพื่อประชาธิปไตยฉบับที่ 2/2555 โดยพร้อมจัดให้มีการชุมนุมใหญ่โดยทันที ภายใต้เงื่อนไข 3 ประการ คือ

1. มีการดำเนินการใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือออกกฎหมายอื่นใดที่มีความชัดเจนว่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือลดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์
2. มีการดำเนินการใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือออกกฎหมายอื่นใด ที่มีความชัดเจนว่าจะนำไปสู่การนิรโทษกรรมให้กับนักโทษชายทักษิณ ชินวัตรและพวก
3. เมื่อเหตุการณ์บ้านเมืองเข้าสู่สถานการณ์ความเหมาะสมที่ประชาชนต้องการการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยครั้งใหญ่

ถึงวันนี้แม้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะยังไม่มีการเคลื่อนไหวใหญ่ แต่ก็ยังเคลื่อนไหวเพื่อประชาชนและประเทศชาติ เช่น การให้ปัญญากับประชาชนผ่านสื่อของเอเอสทีวี การเสวนาปฏิรูปประเทศ ปฏิรูปพลังงาน ทวงคืน ปตท.เป็นสมบัติของประชาชน รวมทั้งการที่นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยดำเนินคดี ส.ส. และ ส.ว. รวม 314 คนที่ร่วมกันลงชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นต้น

แถลงการณ์ฉบับที่ 5/2556 ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เรื่องแถลงการณ์ฉบับสุดท้ายในวันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม 2556 ณ ห้องส่งสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี ถือเป็นการปิดฉากการนำของแกนนำพันธมิตรฯ กลุ่มการเมืองภาคประชาชนผู้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการชุมนุมโดยสงบ อหิงสา และปราศจากอาวุธของภาคประชาชนที่ถือว่ายาวนานที่สุดในโลกกว่า 384 วัน 384 คืน ไม่นับรวมกับความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องอีกเกือบ 8 ปีไปโดยปริยาย เนื่องจากข้อพันธนาการที่แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้ปราศรัย พิธีกร ศิลปิน และประชาชน ซึ่งถูกยัดเยียดข้อหาร้ายแรงอันเป็นเท็จ โดยมีอัตราโทษสูงถึงขั้นประหารชีวิต และเพิ่มผู้ต้องหาจำนวนถึง 96 คน อย่างอยุติธรรมในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งนำโดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แม้ว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยพร้อมที่จะพิสูจน์ตัวเองตามกระบวนการยุติธรรมเพื่อรักษาหลักนิติรัฐ นิติธรรมก็ตาม แต่ศาลอาญาก็ได้มีคำสั่งในคดีหมายเลขดำที่ อ.973/2556 ให้ประกันตัวโดยมีเงื่อนไขตั้งแต่เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2556 ว่า "ห้ามมิให้จำเลยกระทำการใดๆ อันมีลักษณะเป็นการยั่วยุ ปลุกปั่น ปลุกระดม เพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง หรืออาจก่อให้เกิดภัยอันตรายต่อความเสียหายหรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือกระทำการใดๆ เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน และห้ามจำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล"

อย่างไรก็ตามภายใต้เงื่อนไขที่แถลงการณ์ฉบับสุดท้ายของพันธมิตรฯ ระบุว่า "ขอยืนยันว่าจะยังคงแน่วแน่ยึดมั่นในอุดมการณ์ของวีรชนและพี่น้องประชาชนที่เสียสละไม่เคยเปลี่ยน และขอให้มั่นใจว่าการตัดสินใจครั้งนี้เป็นยุทธวิธีที่จะได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน"
พันธมิตรฯ บางส่วนมารวมตัวที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ถ.ราชดำเนิน หลังแกนนำพันธมิตรฯ ประกาศยุติบทบาท

กำลังโหลดความคิดเห็น