ปชป.ลุยอภิปรายตัดงบดีเอสไอ 5% ชี้ทำงานไร้ธรรมาภิบาล รับคดีพิเศษตามใจ แถมนายกฯ เซ็นงบลับเพิ่มหวั่นถูกโยกใช้เที่ยว ตปท. และอ้าง “ปู” ประมุข ก่อนยกคดีเณรคำ ทองคำอยู่ที่คน รบ.กล้าท้วงไหม ชี้มีหน้าเรียก “เจนนี่” สอบหลังถ่ายรูปกับ “วัฒนา” ขี้ข้าบินพบ “แม้ว” นิ่ง ด้าน “เหลิม” เต้นถูกแตะนั่งหัวโต๊ะชงคดีบริจาคเงิน ปชป. อวดรู้คุยวงในอัยการฟ้องคดี 98 ศพแล้ว ด่า ปชป.อุบาทว์ กระทบไปเรื่อย “เจริญ” รับคำ “เทือก” ขอถอน เจ้าตัวไม่แคร์ยอมออกไปพัก “มาร์ค” ยัน “เหลิม” จ้อเท็จ
วันนี้ (23 ส.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว ที่พิจารณาร่างค้างไว้ที่มาตรา 18 กระทรวงยุติธรรม วงเงิน 19,735 ล้านบาท
โดยเมื่อเริ่มเข้าสู่เนื้อหา ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้พุ่งเป้าอภิปรายการจัดงบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ นายวัชระ เพชรทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ เสนอตัด 5 เปอร์เซ็นต์ จากที่มีการตั้งไว้ 1,122 ล้านบาท แต่พบว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี การเซ็นเห็นชอบให้เพิ่มจากงบลับอีก 35 ล้าน ไม่แน่ใจว่าจะถูกโยกไปราชการต่างประเทศด้วยหรือไม่ เพราะเงินทุกบาทเป็นภาษีอากรประชาชนทั้งประเทศ เมื่อทำงานอย่างไม่มีเหตุผลและไม่เป็นไปภายใต้หลักธรรมาภิบาล หลักนิติรัฐ แค่ น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล โพสต์ภาพเสือ สิงห์ กระทิง ยิ่งลักษณ์ ก็รับเป็นคดีพิเศษแล้ว
“นายธาริตยังพูดว่าดีเอสไอไม่ได้รับใช้การเมือง แต่ประมุขประเทศถูกกระทำเช่นนี้และเป็นความผิดที่ดีเอสไอ รับผิดชอบก็ต้องดำเนินการ ถึงขั้นต้องใช้คำว่าประมุขของประเทศเลยหรือ เพราะประมุขของประเทศคือพระมหากษัตริย์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ใช่ประมุขของประเทศอย่างแน่นอน ผมไม่แปลกใจว่าทำไมนายธาริตถึงใช้คำว่าประมุขของประเทศ” นายวัชระกล่าว
จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศีรษะ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ประท้วงว่านายวัชระไม่ควรเอ่ยชื่อคนนอก และการบอกว่านายกฯ เป็นประมุขประเทศ เดี๋ยวประชาชนจะเข้าใจผิด นายกฯ เป็นประมุขฝ่ายบริหาร แต่นายเจริญวินิจฉัยว่า นายวัชระกำลังอธิบายถึงอธิบดีดีเอสไอ ส่วนจะสมาชิกจะเข้าใจตามที่เขาพูดหรือไม่เป็นเรื่องของท่าน ถ้าเข้าใจว่านายกฯ คือประมุขฝ่ายบริหาร แต่ความเห็นของผู้อภิปรายก็เป็นเรื่องของเขาที่กำลังโน้มน้าว ความเห็นแตกต่างกันคือเสน่ห์ของที่ประชุม และสั่งให้นายวัชระอภิปรายต่อ นายวัชระอภิปรายต่อว่า นายธาริตจะเยินยอสรรเสริญ หรือเชลียร์เอาใจนายกฯ อย่างไร แต่นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ เพื่อไทย ประท้วงไม่อยู่ในประเด็น เมื่อเสนอให้ตัดการใช้งบลับก็ต้องอธิบายเรื่องนี้ ซึ่งการจะใช้เงินงบลับจะเอาไปทำอะไรก็ได้ ไม่เกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ ไม่เกี่ยวกับมัลลิกา ไม่เกี่ยวกับนายกฯ เลย
นายวัชระโต้ว่า ขอให้รัฐบาลพยายามควบคุมคนของตนเองอย่าประท้วงบ่อย เพราะประชาชนจะยิ่งสงสัยว่าทำไมต้องปกปิดกันเหลือเกิน และตนจะไม่อภิปรายเยิ่นเย้อ แต่รับรองว่าจะทะลุถึงหัวใจ หากคนระดับอธิบดีสามารถเยินยอให้ถึงขนาดนี้จึงต้องตัดปรับลด 5% แต่กรมนี้โดยรวมมีประโยชน์ต่อประชาชน แต่ไม่ใช่มีคดีอะไรก็ดังขึ้นมาก็เข้าดีเอสไอ โดยเฉพาะคดีเณรคำ ทราบหรือไม่ว่าทองคำของเณรคำอยู่ที่พลเอกคนหนึ่งในกองทัพนี้ แล้วนายธาริตกล้าไปตามทองคำที่พลเอกคนนั้นที่อยู่ในรัฐบาลหรือไม่ ทองคำมีจริง มีเป็นร้อยตันจริง แต่มีอยู่กับคนหนึ่งในรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งเป็นข้อพิรุธเหมือนกัน สะท้อนให้เห็นว่าพฤติกรรมคนเป็นอธิบดีน่าสงสัย แม้แต่เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ ที่ไปถ่ายภาพคู่นายวัฒนา อัศวเหม ซึ่งเป็นนักโทษหลบหนีคดีอาญา นายธาริตบอกจะออกหมายเรียกเจนี่โดยอาศัยข้อกฎหมายเรียกไปรายงานตัวที่ดีเอสไอ ถ้าใช้มาตรฐานเดียวกันนี้ นายธาริตก็ต้องเรียก พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ที่ไปพบนักโทษชายที่ศาลฎีกาตัดสินจำคุก 2 ปี ที่ต่างประเทศ คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มารายงานตัวที่ดีเอสไอด้วย และเรียกส.ส.เพื่อไทยทุกคนที่ไปพบมารายงานตัวด้วยใช่หรือไม่ เพราะการบังคับใช้กฎหมายต้องเป็นไปภายใต้มาตรฐานเดียวกัน แต่ทำไมนายธาริตถึงไม่ดำเนินการ ก็เพราะประกาศชัดเจนว่าตนเองเป็นฝ่ายรัฐบาลอย่างแน่นอน มีการยอมรับในที่ประชุมกรรมาธิการงบปี 56
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวัชระได้เรียกเสียงฮาในที่ประชุม เมื่อ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ได้ยกมือประท้วง แต่นายวัชระกล่าวกับนายเจริญว่า ผู้ประท้วงได้ยกรองเท้าขึ้นมาอีกแล้ว ทำให้นายเจริญต้องกล่าวตักเตือนว่าให้พูดจาสุภาพในที่ประชุมเพราะไม่ได้มีการยกอะไรขึ้นมา
ด้าน จ.ส.ต.ประสิทธิ์ประท้วงว่า นายวัชระกล่าวให้ร้ายรัฐบาลว่าทองคำของเณรคำอยู่กับพลเอกคนหนึ่งที่อยู่ในรัฐบาลนี้ เป็นการกล่าวหาให้รัฐบาลเสียหาย ถ้าแน่จริงพูดชื่ออกมาหรือแถลงข่าวเลยว่าใคร แต่นายเจริญวินิจฉัยว่านายวัชระไม่ได้เอ่ยว่าเป็นใคร นายวัชระกล่าวต่อว่า ตนจำเป็นต้องตัดงบของดีเอสไอ เพราะทำหน้าที่ไม่มีความเป็นธรรม เช่น กรณีของนายเอกยุทธ อัญชัญบุตร ที่ก่อนตายได้บอกกับทนายก่อนตายว่า มีตัวเขาปัญหากับ พ.ต.ท.ทักษิณ และน.ส.ยิ่งลักษณ์เท่านั้น ทำไมไม่รับเป็นคดีพิเศษ แต่นายเจริญได้ชี้แจงว่า การจะรับหรือไม่รับเป็นคดีพิเศษ เป็นการออกกฎหมายโดยสภา และเป็นอำนาจของบอร์ดดีเอสไอจะพิจารณา ไม่ใช่นายธาริตคนเดียว ขอให้อภิปรายเฉพาะการตัดงบ
นายวัชระโต้ว่า สภาให้อำนาจดีเอสไอพิจารณาก็จริง แต่การทำงานอยู่บนความไม่ยุติธรรม คดีใหญ่ๆ ฆาตกรรมอำพรางและเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างคดีของนายเอกยุท ยังไม่รับเป็นคดีพิเศษ แต่กรณี น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล แค่โพสต์ภาพเสือ สิงห์ กระทิง และภาพนายกฯ กลับมาเป็นคดีพิเศษ มันพิเศษตรงไหน มันไม่เข้าหลักเกณฑ์เลย แต่นายธาริตต้องการเชลียร์เอาใจนายกฯ เพราะงบบริหารที่เอาไปไม่สามารถปฏิบัติตามพันธะ วิสัยทัศน์ ที่ดีเอสไอ มาแถลงต่อ กมธ.งบประมาณ ว่าจะซื่อสัตย์ ซื่อสัตย์ต่อใคร ต่อประชาชนหรือไม่ หรือเลือกซื่อสัตย์แต่กับนายกฯ งบ 1,100 ล้านบาทเศษ รวมกับงบลับ 35 ล้านบาทที่นายกฯ ลงนามเห็นชอบ ผมเกรงว่าเงินดังกล่าวจะเอามาทำคดีเสือ สิงห์ กระทิง ท่านนายกฯ ไม่เป็นคดีด้วยซ้ำ หรือถ้าเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ทำได้
นอกจากนี้ นายวัชระยังกล่าวถึงคดีหักเงินเข้าพรรคว่า ตนเป็นหนึ่งที่หักเงิน 20,000 บาท บำรุงพรรคเพราะพรรคประชาธิปัตย์เป็นของทุกคน ประชาชนเป็นเจ้าของไม่ใช่พรรคของคนที่ออกเงินเพียงคนเดียวแล้วไปสั่งให้ลูกพรรคทำอย่างนั้น สั่งลูกพรรคให้เซ็นชื่อลาออกล่วงหน้าอย่างนี้ แต่มีพรรคที่สั่งให้ลูกพรรคเซ็นชื่อลาออกล่วงหน้าทุกคนมีอยู่ในสภาแห่งนี้ ขณะที่นายเจริญสั่งห้ามใส่ร้ายพรรคอื่นในสภา โดยมารยาทอย่าไปก้าวก่ายพรรคอื่น และการใช้อำนาจหน้าที่ก็ทำตามกฎหมายที่สภาออกให้เอง แต่นายวัชระยืนยันว่าในเมื่อมีการตั้งทนายคนเสื้อแดงเข้าไปนั่งเป็นกรรมการสอบแล้วการพิจารณาจะเที่ยงธรรมได้อย่างไร ถือเป็นการใช้จ่ายเงินไม่สอดคล้องกับงบประมาณ สภามอบอำนาจที่สภามอบให้ไป แล้วรัฐบาลไปแต่งตั้งคนของตัวเองที่มีทัศนคติเชิงลบต่อระบบประชาธิปไตย ดำเนินคดีกับพรรคประชิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย แต่จนถึงวันนี้ไม่เคยมีหมายเรียกพรรคภูมิใจไทยไปสอบสวนเลย ชี้ให้เห็นถึงการเลือกปฏิบัติ จำเป็นต้องพิจารณาเพราะ ร.ต.อ.เฉลิมตอบกระทู้ตนในสภาว่าดีเอสไอ ตนเร่งรัดได้เพราะกำกับดูแล จึงเร่งรัดให้เป็นคดีพิเศษทั้งที่ไม่สมควรเลย นายธาริตยังยอมรับในที่ประชุมกรรมาธิการงบปีนี้ว่า ในที่สุดมันก็เกิดเป็นปัญหาเพราะให้ฝ่ายการเมืองเป็นประธานดีเอสไอ ให้นายกฯ ให้ รมว.ยุติธรรมเป็นรอง กล้ายอมรับว่าที่เป็นปัญหาเรื่องเงินบริจาค 2 หมื่นบาท หรือเงินบริจาคน้ำท่วมในปี 44 เพราะฝ่ายการเมืองมานั่งเป็นประธาน แสดงว่านายธาริตบอกเป็นเพราะ ร.ต.อ.เฉลิมมานั่งเป็นประธาน จึงเกิดปัญหาขึ้นมา
นายวัชระได้ยืนยันตนรายงานความจริงให้ประชาชนรับทราบ การทำหน้าที่ผู้แทนตามรัฐธรรมนูญต้องไม่อยู่ใต้อาณัติของใคร ดังนั้น คดีบริจาคเงินเข้าพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยการหักเงินเดือน ไม่ได้เป็นคดีพิเศษเลย แต่กรรมการดีเอสไอ มี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงเป็นประธานดำเนินการ ทำหน้าที่แทนนายกฯ มี พล.ต.อประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรมสมัยนั้นเป็นรองประธาน มีกรรมการที่พึ่งแต่งตั้งเข้าไป 9 คน และมีการลงมติครั้งแรก โดยมีนายธาริตเป็นเลขานุการ โดยกรรมการทั้ง 9 คนไม่ได้แต่งตั้งโดยบุคคลที่เป็นกลาง ตั้งทนายความคนเสื้อแดง
นายเจริญวินิจฉัยย้ำว่า ต้องเคารพสิทธิกรรมการที่แต่งตั้งไป อยู่ที่ดุลพินิจการใช้อำนาจที่มีกฎหมายรับรองอยู่ การประชุมแล้วจึงมีมติออกมา นายวัชระตอบโต้ว่า ในเมื่อสภามอบอำนาจให้ดีเอสไอไป แต่กลับไปรับใช้รัฐบาล ต้องบอกประชาชนให้เห็นว่าขนาดสส.ยังไม่ได้รับความเป็นธรรม กฎหมายเขียนไว้ชัดเจนว่าเป็นกลางทางการเมือง แล้วไปพูดในกรรมาธิการได้อย่างไรว่าเป็นฝ่ายรัฐบาลอย่างแน่นอน รับใช้รัฐบาลอย่างนี้จะให้พวกตนนั่งอมอะไรในสภา
ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย รมว.แรงงาน กล่าวใช้สิทธิพาดพิงว่า ตนเคยเป็นประธานกรรมการคดีพิเศษมาแล้ว สิ่งที่นายวัชระได้อภิปรายไร้สาระ ไม่มีแก่นสาร ไม่ควรมาใช้ถ้อยคำอย่างนี้ในสภาผู้แทนราษฎร คนเป็นประธานคดีพิเศษไม่สามารถตัดสินในรับคดีต่างๆ ได้เพียงคนเดียว เขาต้องมีที่มาที่ไป ต้องมีการสืบสวนสอบสวน มีพยานหลักฐานฟังได้ว่าผู้ถูกกล่าวหามีความผิด เขาจึงเสนอมาที่คณะกรรมการคดีพิเศษ ตนเคยเป็นประธานมา 2 ปี ครั้งแรกก็ด่าตนตอนคดี 98 ศพ ก็หาว่าตนแกล้ง สุดท้ายดีเอสไอฟ้อง อัยการฟ้อง เรื่องอยู่ที่อัยการจะไปศาลไม่มีใครแก้ไขได้ ไม่มีนักการเมืองคนไหนที่จะแกล้ง ปชป. การเมืองไม่มีใครกลัวใคร ถ้ามาพาดพิงเสียหายก็ตอบโต้ ขณะนี้พิจารณาวาระ 2 คนที่พูดไม่รู้ภาษาผ่านวาระ 1 มาแล้ว อย่ามาใช้อารมณ์
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ลุกขึ้นประท้วงว่า ร.ต.อ.เฉลิมพูดโกหกในสภา อาจยังไม่ถึงเวลาเย็นก็ฟั่นเฟือนไป เพราะขณะนี้ดีเอสไอสั่งฟ้องจริง แต่อัยการยังไม่ได้ดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้น จึงขอให้ประธานได้ตักเตือนด้วย ทำให้นายเจริญพยายามประนีประนอม ร.ต.อ.เฉลิมกลับไม่สนใจ ยังคงพูดสวนกลับทันควันว่าอย่าไปเกรงใจใคร เมื่อตนมารับตำแหน่งคดี 98 ไม่มีการชันสูตรศพ ประชาธิปัตย์เอาสำนวนไปเก็บเฉยๆ ตนเป็นพนักงานสอบสวนตนรู้ ได้ตั้งพนักงานสอบสวนขึ้นมาสอบเพิ่ม ไม่ต้องเกรงใจกัน ดีเอสไอก็มีมติสั่งฟ้อง
“ขณะนี้เรื่องอยู่ที่อัยการ แต่ผมรู้ภายในว่าเขาฟ้องแล้ว ส่วนพวกท่านบอกไม่ฟ้องก็เรื่องของท่าน ผมผิดที่ไหนมาเดิมพันกันเลย” ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว
นายสุเทพลุกขึ้นโต้กลับว่า ตนต้องปกป้องความจริง ร.ต.อ.เฉลิมได้กล่าวคำโกหกในสภา พูดเรื่องที่ไม่จริงที่บอกว่าอัยการสั่งฟ้องแล้ว เพราะข้อเท็จจริงขณะนี้อยู่ในขั้นตอนที่ดีเอสไอสั่งฟ้องเท่านั้น และก่อนหน้านี้ตนได้เดินทางไปพบอัยการ ก็มีการชี้แจงว่ายังพิจารณาไม่เสร็จ จึงเลื่อนนัดพิจารณาไปเป็นวันที่ 26 สิงหาคมนี้ การที่ ร.ต.อ.เฉลิมบอกว่ารู้ล่วงหน้าทำให้เคลือบแคลงใจว่ารู้ได้อย่างไร หรือฝ่ายการเมืองจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม ทั้งที่ไม่มีหน้าที่ หรือแอบสั่งการอัยการไว้แล้ว หากเป็นเช่นนี้ตนก็จะดำเนินการอีกคดีหนึ่ง
ทั้งนี้ ร.ต.อ.ฉลิมได้โต้ทันควันว่า ถ้านักการเมืองคนไหนไปสั่งให้ดีเอสไอสอบสวนคดีนี้ ขอให้นักการเมืองคนนั้นและพรรคการเมืองนั้นวิบัติ และคณะกรรมการไม่ได้ตั้งในสมัยตน แต่ตั้งในสมัยประชาธิปัตย์ ที่ต้องการจัดการกับคนเสื้อแดง มันอุบาทว์ ประชาธิปัตย์จะกระทืบใครได้หมด แต่กระทืบตนไม่ได้
เมื่อมาถึงตรงนี้ ส.ส.พรรประชาธิปัตย์หลายคนได้ลุกขึ้นประท้วง นายสุเทพขอให้ประธานสั่งห้าม ร.ต.อ.เฉลิมใช้คำพูดหยาบในสภา และต้องถอนคำพูด แต่ ร.ต.อ.เฉลิมยอมถอนคำว่าอุบาทว์ แต่พฤติกรรมที่แสดงออกมา 2-3 วัน ดุด่าประธาน ถึงไม่กระทบก็เกือบกระทืบ ตนยืนยันไม่ถอน
ขณะเดียวกัน ส.ส.ฝ่ายค้านก็ตะโกนขึ้นมาว่า “เอาออกไปเลยๆ” จนนายเจริญกล่าวว่า ในเมื่อไม่ยอมถอนก็จะให้มีการบันทึกไว้ ทำให้ ส.ส.ประชาธิปัตย์ลุกขึ้นประท้วงว่าจะต้องสั่งให้ ร.ต.อ.เฉลิมออกจากห้องประชุม เพราะไม่ทำตามคำวินิจฉัยของประธาน แต่นายเจริญอ้างว่าเป็นอำนาจของประธาน แต่ในที่สุดก็เชิญ ร.ต.อ.เฉลิมออกจากห้องประชุมไปพักดื่มกาแฟก่อน โดย ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า ตนยอมเดินออกไปแต่อย่าพูดลับหลัง พูดจาหยาบคายถือว่าไม่ใช่ลูกผู้ชาย พฤติกรรมแบบนี้นักการเมืองข้างถนน จากนั้นได้เดินออกจากห้องประชุมไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
จากนั้นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน ใช้สิทธิพาดพิงว่า คดี 98 ศพ อัยการไม่ได้สั่งฟ้อง ส่วนการทำงานของดีเอสไอ ได้มีการทำการสอบสวนและมีการแจกแจงมีหลายคดี และมีอย่างน้อย 12 กรณีที่ดีเอสไอระบุว่าน่าจะเกิดจากการชุมนุมของผู้ชุมนุม ส่วนการกล่าวหาตนและนายสุเทพและสั่งฟ้อง มี 2 กรณี คือ การเสียชีวิตของนายพัน คำกอง ด.ช.คุณากร ศรีสุวรรณ หรือน้องอีซาเท่านั้น และจะต้องมีการสอบสวนต่อไปว่ากระสุนมาจากไหนตามสภาวะ วิสัย และพฤติการณ์ ดังนั้น ที่ระบุว่าสำนักงานอัยการสูงสุดที่ฟ้องตนและนายสุเทพจึงเป็นความเท็จ ส่วนกรณีที่ประธานบอกว่าสภาเป็นคนออกกฎหมายดีเอสไอนั้นถูกต้อง และกำหนดให้ทำเฉพาะเรื่องที่ซับซ้อน และผู้กระทำผิดมีอิทธิพล ดังนั้น กรณีที่นายวัชระระบุว่า คดี เสือ สิงห์ กระทิงฯ ที่ น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษก ปชป.ถูกดีเอสไอฟ้องจึงไม่ถูกต้องเพราะไม่ซับซ้อน รวมทั้งการวินิจฉัยของดีเอสไอในกรณีเงินบริจาคช่วยน้ำท่วม ที่พรรคประชาธิปัตย์หักเงินเดือน ส.ส.ก็ไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วย