xs
xsm
sm
md
lg

“ม.จ.จุลเจิม” ค้านนิรโทษฯ ลั่นทำใจไม่ได้ล้างผิดคนหมิ่นสถาบัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ม.จ.จุลเจิม ยุคล ทรงโพสต์ข้อความค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ลั่นนักการเมืองเลวชอบเพราะจงใจทำผิดก็ไม่ต้องรับผิดแค่ออก กฎหมายฟอกขาวให้ตัวเอง เตือนรัฐสภาไม่ตั้งอยู่ในสุจริตธรรม แม้ออกกฎหมายบ้านเมืองก็ลุกเป็นไฟ
ASTVผู้จัดการ – ม.จ.จุลเจิม ยุคล ทรงโพสต์ข้อความค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ลั่นนักการเมืองเลวชอบเพราะจงใจทำผิดก็ไม่ต้องรับผิดแค่ออก กม.ฟอกขาวตัวเอง เตือนรัฐสภาไม่ตั้งอยู่ในสุจริตธรรม แม้ออกกม.บ้านเมืองก็ลุกเป็นไฟ ลั่นทำใจไม่ได้ล้างผิดคนหมิ่นสถาบันโดยที่เบื้องสูงไม่มีทางตอบโต้ ลั่นถ้านิรโทษฯ คนหมิ่นพ่อ “กูเอามึงแน่” เตือนทหารระดับนายพันอย่าขายตัวระบบทักษิณ ให้นึกถึงพระคุณสถาบันเบื้องสูง-คำสัตย์ปฏิญาณด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวานนี้ (9 ส.ค.) พลตรีหม่อมเจ้าจุลเจิม ยุคล หรือ หรือ "ท่านใหม่" ได้ทรงโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก Chulcherm Yugala แสดงทัศนะเกี่ยวกับ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ฉบับนายวรชัย เหมะ ส.ส.เพื่อไทย ที่ผ่านวาระแรกในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 8 ส.ค. ที่ผ่านมา โดยระบุว่า ทรงไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมกลุ่มคนที่จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากคนที่กระทำผิดก็ต้องเอาผิด และประกาศให้สังคมรู้ว่ามีคนกระทำผิด แต่การออกกฎหมายนิรโทษกรรมของนักการเมืองครั้งนี้นั้นคือการล้างผิดให้กับคนที่ไม่รู้สึกว่าตัวเองทำผิด ทั้งๆ ที่คนเหล่านั้นซึ่งเป็นพวกพ้องของคนในพรรคเพื่อไทยดำเนินการละเมิด ใส่ร้ายป้ายสีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ติดต่อกันนานเกือบ 10 ปี ในต่างกรรมต่างวาระกัน

“บ้านเมืองนี้ มันว้าเหว่สิ้นดี เมื่อการเมืองไม่ชอบธรรม เมื่อรัฐสภาไม่ตั้งอยู่ในสุจริตธรรม ผ่านกฎหมายมากี่ฉบับบ้านเมืองก็ลุกเป็นไฟ ... ผิด ล้างผิดทั้งที่เจตนาทำ มีสติ และจงใจทั้งที่มีคนตักเตือน ทักท้วงและห้ามปราม ชี้สิ่งที่ควรและไม่ควร คนทำเหล่านี้ก็ไม่ไยดี ไม่ยี่หระใดๆ ในฐานะเราชาวพุทธคนหนึ่งและประชาชนที่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จะให้ล้างผิดพวกหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้น ทำใจไม่ได้จริงๆ” ท่านใหม่ระบุ

พร้อมกันนี้ยังทรงระบุด้วยว่า นักการเมืองเลวชอบนิรโทษกรรมเพราะ ถึงจงใจทำผิดร้ายแรงแค่ไหนก็ไม่ต้องรับผิดชอบ แค่ชักชวนเพื่อนพ้องเขียน ตัวหนังสือเพียงไม่กี่หน้าก็สามารถฟอกขาวให้ตนเองได้ และยังจะได้ครองอำนาจ รุ่งเรืองในลาภยศต่อไป และยืนยันในตอนท้ายว่า “เราอภัยโทษได้ แต่ไม่ยินดีนิรโทษ”

สำหรับข้อความเต็มที่ พล.ต.ม.จ.จุลเจิม ทรงโพสต์ลงในเฟซบุ๊กวานนี้มีใจความว่า

“จากข้อเขียนของผม มิใช่จะดึงเอาสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมายุ่งเกี่ยวกับการเมืองตามที่บางคน บางกลุ่มเข้าใจ ได้มีทั้งคนเข้ามาชื่นชม แสดงความคิดเห็น และด่าว่า แต่ผมขอยืนยันว่า ผมทำทั้งหมดเพื่อปกป้อง และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เป็นศูนย์รวมจิตใจของปวงชนชาวไทย และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้เหนือความขัดแย้งทุกรูปแบบ พร้อมทั้งจะดำเนินการทุกวิถีทางอย่างจริงจังร่วมกับประชาชนที่จงรักภักดีและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อป้องกันมิให้มีการล่วงละเมิดพระบรมเดชานุภาพ อีกต่อไป ซึ่งในปัจจุบันนี้ผมเห็นว่า บ้านเมืองนี้ มันว้าเหว่สิ้นดี เมื่อการเมืองไม่ชอบธรรม เมื่อรัฐสภาไม่ตั้งอยู่ในสุจริตธรรม ผ่านกฎหมายมากี่ฉบับบ้านเมืองก็ลุกเป็นไฟ

“เราออกมาเรียกร้องอย่างชัดเจน เรื่องไม่เห็นด้วยกับนิรโทษกรรมพวกจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ จนหลายคนตำหนิและด่าว่าเราอย่างเสียหาย โดยไม่พิจารณาความเป็นจริงแม้แต่น้อย แต่ช่างมันเถิด..

“เรายืนยันตรงนี้อย่างชัดเจน คนที่ทำแล้วด้วยเจตนาอย่างชัดเจนต้องเอาผิด แม้จะรับโทษเป็นศูนย์ปี ก็ควรจะต้องประกาศให้รู้ว่ามีผิด สิ่งนั้นเป็นความผิด

“ผิด ล้างผิดทั้งที่เจตนาทำ มีสติ และจงใจทั้งที่มีคนตักเตือน ทักท้วงและห้ามปราม ชี้สิ่งที่ควรและไม่ควร คนทำเหล่านี้ก็ไม่ไยดี ไม่ยี่หระใดๆ ในฐานะเราชาวพุทธคนหนึ่งและประชาชนที่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จะให้ล้างผิดพวกหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้น ทำใจไม่ได้จริง ๆ

“ในพรรคเพื่อไทย มีคนที่เรา ‘เชื่อว่า’ พอมีดีอยู่บ้าง นิ้วดีก็ยกย่องเชิดชู นิ้วร้ายก็ต้องกล้าตัดทิ้ง แต่ถ้าทำตรงกันข้าม จะให้ “เชื่อ” ต่อไปคงไม่สนิทใจ ในกาลข้างหน้า ถ้าคนที่เป็นพวกพ้องตนเองทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใครจะกล้ากล่าวโทษ ทั้งที่การละเมิด ใส่ร้ายป้ายสีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ติดต่อกันกินเวลานานเกือบ ๑๐ ปี ต่างเวที ต่างพื้นที่ และหลายคนใน

“เมื่อพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลรักประโยชน์ตน มากกว่าข้อเท็จจริงรักพวกพ้องมากกว่าสถาบันหลักของสังคม รักความพอใจ มากกว่าความถูกต้อง

“มีนักรัฐศาสตร์ชั้นครู เตือนเราว่า..ความถูกต้องที่เราเรียกร้องนั้น มันจะเสียดแทงใจดำของนักการเมืองเลว..ในไม่ช้า เราจะถูกเล่นงาน...

“นักการเมืองเลวชอบนิรโทษกรรมเพราะ ถึงจงใจทำผิดร้ายแรงแค่ไหนก็ไม่ต้องรับผิดชอบ แค่ชักชวนเพื่อนพ้องเขียน ตัวหนังสือเพียงไม่กี่หน้าก็ ‘ฟอก’ ขาวให้ตนเองได้ และยังจะได้ครองอำนาจ รุ่งเรืองในลาภยศต่อไป

“ส่วนนักการเมืองดี จะยอมรับการอภัยโทษ เพราะนักการเมืองดี ต้องรับผิดชอบต่อชีวิต สังคมและอนาคตของประชาชาติ ทำการหลายอย่างอาจพลาดพลั้ง มีผิด แต่อาจไม่ต้องรับโทษเพราะ เจตนาทำเพื่อประชาชน เป็นที่ตั้ง

“ความถูกต้องจึงต้องยืนอยู่เหนือความถูกใจและพวกพ้อง กฎหมายเขียนกี่ฉบับก็ได้ แต่ถ้ากฎหมายนั้นเพื่อพวกพ้อง ก็จะกลายเป็นกฎหมู่ ที่สุดบ้านเมืองก็จะลุกเป็นไฟ

“ขอบอกอีกครั้งว่า เราอภัยโทษได้ แต่ไม่ยินดีนิรโทษ”




ชี้ความเลวร้ายการนิรโทษฯ-ระบบเผด็จการรัฐสภา

ขณะที่เมื่อวันที่ 1 ส.ค. ท่านใหม่ก็ได้ทรงเขียนข้อความอธิบายถึงความหมายและนัยยะของกฎหมายนิรโทษกรรมไว้ว่า

“กฎหมายนิรโทษกรรม เป็นกฎหมายพิเศษและใช้เฉพาะกาลสำหรับเมืองไทย มีกฎหมายนิรโทษกรรม หรือกฎหมายยกเว้นความผิดย้อนหลังประกาศใช้มาแล้วประมาณ ๒๘ ฉบับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๕ – พ.ศ. ๒๕๓๕ หรือตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยเป็นต้นมา (คณะกรรมการกฤษฎีกา, ๒๕๕๖)

“นิรโทษกรรมคืออะไร ต่างจากอภัยโทษมากไหม ???

“ตามหลักของกฎหมายแล้ว นิรโทษกรรม ทำให้บุคคลผู้หนึ่งที่กระทำความผิด ไม่มีความผิดอีกต่อไป และมีความหมายยิ่งกว่าการอภัยโทษ หรือลดหย่อนเพราะนิรโทษกรรม จะกำหนดให้บุคคลผู้ทำความผิดนั้นๆ เสมือนหนึ่งไม่เคยทำผิดเลย ผลของกฎหมายเช่นนี้ จะมีส่งให้ ผู้กระทำความผิดกลายเป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องขาดจากพันธะผูกพันกับความเสียหายใดๆทั้งทางแพ่งและอาญา ไม่ต้องชดใช้ ไม่ต้องรับโทษ

“และเอาโทษย้อนหลังก็ไม่ได้ กลายเป็นผู้มีประวัติขาวสะอาดนิรโทษหรือ นิรโทษกรรมจะใช้เมื่อเกิดการละเมิดระหว่างกันโดยมีเหตุจากความขัดแย้งทางความคิด

“จนเป็นเหตุทำให้ต้องกระทำการบางอย่างอันเป็นการละเมิดต่อกันและเป็นความผิดทางกฏหมาย เช่น กลุ่มคู่ประเทศสงครามต้องฆ่าอีกฝ่ายหนึ่งตาย หรือฝ่ายคอมมิวนิสต์ฆ่าทหารซึ่งการฆ่าเช่นนี้เป็นการกระทำผิดผิดกฎหมายอาญาและแพ่งแต่การฆ่าฟันในครั้งนี้มีพื้นฐานจากบทบาทหน้าที่ของสองฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกันทั้งที่ทั้งสองฝ่ายอาจไม่รู้จักกันด้วยซ้ำแต่ต้องรบฆ่าฟันอีกฝ่ายหนึ่ง ดังนั้น เพื่อยุติความขัดแย้ง หรือความโกรธแค้นต่อกันจึงมีกฎหมายนิรโทษกรรมทั้งสองฝ่าย

“ในกรณีนี้ ทั้งสองฝ่ายที่ฆ่าฟันกันไม่ถือว่ามีความผิด สิ่งที่ทำนั้นไม่ถือว่าเป็นการกระทำผิด แต่ในกรณีที่เป็นโจร ผู้ที่ปล้นชิง ลักทรัพย์ แล้วฆ่าเจ้าหน้าที่ตาย โจรต้องมีความผิดทั้งอาญาและแพ่ง ต้องรับโทษ จะใช้ยกเว้นโทษด้วยกฎหมายนิรโทษกรรมไม่ได้ ขืนบังคับให้นิรโทษกรรมโจรเมื่อใด บ้านเมืองนั้นวุ่นวายแน่ เพราะการกระทำของโจรเกิดจากความโลภส่วนตัว และไม่มีข้อบ่งชี้ใดๆ ว่าโจรจะทำเพื่อส่วนรวมหรือทำเพื่อประโยชน์สาธารณะหรือไม่มีข้อบ่งชี้ใด ที่บอกว่าการปล้นชิงคือพันธะหน้าที่ของมนุษยชาติที่ต้องทำ เมื่อโจรทำผิดย่อมไม่ต้องการรับโทษซึ่งขัดต่อหลักความยุติธรรมของสังคมแต่หากต้องการลดโทษหรือไม่เอาผิดแก่โจรจริงๆ แล้วละก็ ก็จะเลือกใช้กฎหมายอภัยโทษซึ่งหมายความว่าโจรผู้นี้ทำผิด มีความผิด สิ่งที่ทำนั้นผิด แต่ได้รับการอภัยหรือมีโทษน้อยลง หรือมีโทษเป็นศูนย์

“การนิรโทษกรรมจึงต่างจากการอภัยโทษอย่างมากเพราะการเมืองไม่นิ่ง กลไกทางการเมืองอ่อนด้อย เราประณามแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองที่มาจากการยึดอำนาจด้วยการปฏิวัติ แต่ไม่สำเหนียกการล้มล้างเปลี่ยนแปลงการปกครองด้วยระบบเผด็จการรัฐสภานั้นเลวร้ายพอกันทั้งสองต่างไม่ควรได้รับการนิรโทษกรรมยกเว้นไม่เอาผิดนั้นไม่ได้ แต่อภัยโทษได้ บ้านเราใช้กฎหมายนิรโทษกรรมพร่ำเพรื่อ ทุกครั้งมีเหตุผลมาจากความไม่ถูกใจกับการเมืองมากกว่าจะเป็นความขัดแย้งและการต่อสู้ของอุดมการณ์ นานๆ ไป ก็เกิดเป็นประเพณีว่า ล้มล้างการปกครองหรือแช่เย็นรัฐธรรมนูญแล้วก็ต้องนิรโทษกรรมให้ตนเอง ประกาศให้รู้ว่าการละเมิดต่อระบอบการปกครองที่ควรเป็นไม่ใช่ความผิด ทั้งที่เป็นการกระทำอันมีโทษระบุไว้ชัดเจนในรัฐธรรมนูญ แต่ การเมืองของเราก็ทำเช่นนี้มาแล้ว ๒๘ ครั้ง นานพอและมากพอที่จะถือว่าเป็นนิสัยอันเคยชินได้เพียงแค่ออกกฎหมายนิรโทษกรรมทุกอย่างก็ถอยหลังกลับเหมือนเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ทั้งที่จริงความเสียหายต่าง ๆ มันเกิดขึ้น มันย้อนคืนไม่ได้และไม่มีผู้รับผิดชอบเวลานี้ บ้านเมืองของเราเจริญขึ้นมากมากจนคนส่วนมากจะรู้เห็นและเข้าใจแล้วว่าการล้มล้างการปกครองไม่ใช่จะกระทำด้วยกำลังอาวุธเท่านั้นแต่สามารถทำได้ด้วยเงินและครอบงำเบ็ดเสร็จในรัฐสภาได้ด้วย และเลวร้ายพอกันกฎหมายนิรโทษกรรมที่นำเข้ารัฐสภาในวันนี้ ก็หนีคำครหาไม่พ้นว่าทำมาเพื่อฟอกผิดให้ตนเองแต่ไม่กล้ารับผิดชอบต่อการกระทำของตนจึงเป็นเหมือนน้ำผึ้งหยดเดียวที่จะชักนำให้ฝ่ายที่เห็น
ด้วยและไม่เห็นด้วย ดาหน้าออกมารบราฆ่าฟันกันอีกครั้งเพราะรู้ว่าเป็นกฎหมายไม่ศักดิ์สิทธ์ เขียนได้ก็ลบได้ตามอำเภอใจ เมื่ออำนาจในมือตัวกูคือกฎหมายเลือกใช้กฎหมายอภัยโทษน่าจะดีกว่าผิดคือผิด ถูกคือถูกตามกฎหมาย ไม่มีอภิสิทธิ์ใดๆ
เหนือรัฐธรรมนูญ เพื่อให้หลักแห่งนิติรัฐเป็นจริงเสียที แม้จะล้มลุกคลุกคลานมานานกว่า ๘๐ ปีก็ตาม”




ลั่นถ้านิรโทษฯ คนหมิ่นพ่อหลวง “กูเอามึงแน่”

ต่อมาเมื่อวันที่ 3 ส.ค. พล.ต.ม.จ.จุลเจิม ก็ทรงโพสต์ให้ความเห็นถึง กม.นิรโทษกรรม ซึ่งในเวลานั้นยังไม่เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรโดยกล่าวว่า

“มุมร้าย ที่เพื่อไทย ตั้งใจนิรโทษ
ขอพูดถึง กฎหมายนิรโทษอีกมุมหนึ่ง


“ส.ส. สว. ทั้งซีกรัฐบาลและฝ่ายค้าน จะมีใครรู้ตัวหรือไม่ ว่ากำลังจะทำอะไร ถ้ากฎหมาย นิรโทษกรรมผ่านสภาจริง ๆ คนที่กล่าวจาบจ้วงล่วงละเมิดพระมหากษัตริย์ก็จะพ้นผิดไปสบาย ๆ ...ในช่วงปลุกใจเสื้อแดงให้ลุกเดินตามตัวเอง สู้เสื้อเหลือง ครั้งนั้นต้องยอมรับว่า สถาบันถูกเลือกเป็นเป้า ปลุกเร้าอย่างมันปาก ก่นด่าอย่างสนุกสนาน ใส่สีตีไข่ เป็นความตั้งใจที่มีเจตนาชัดเจน (ย้อนรอยดู ใน Youtube ได้ทุกวินาที แม้ในนาทีนี้ก็ตาม)

“โดย ฝ่ายสถาบันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ เลย ไม่เคยร้องขอความยุติธรรม ไม่เคยตอบโต้ ไม่แก้ต่าง พยายามไม่อยู่ในวังวน ของคนทะเลาะกัน และรัฐบาลจึงได้ใจ พาลทำเฉย ๆ ดื้อ ๆ ตาบอดตาใสอย่างทุกวันนี้ ทุกคนฮึกเหิม สะใจ และเมามัน ไม่ยี่หระต่อกฎหมาย ทำแล้วไม่ต้องรับโทษ ขนาดระดับรองประธาน ส.ว. (ขอย้ำว่ารองประธาน ส.ว. เป็นใครไม่ขอเอยนาม) ยังมันปาก ซัดไม่ยั้ง เรียกราคาให้ตัวเอง และขณะพูดก็มีสติและสำนึกชัดเจน รู้ว่าจะหลบเลี่ยงคำพูดอย่างไร ให้มันสะใจ เรียกค่าตัว แต่เลี่ยงกฎหมาย ไม่ต้องพูดถึง หัวหมา หัวหน้าแก๊งค์ ลูกไล่ วิทยุชุมชน ต่างๆ แข่งกันแช่งด่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวัน จนแม้แต่พวกสถุล ก็มีค่าตัวนับสิบล้าน..เป็นรัฐมนตรีหลายคน เป็นประธานบอร์ดหลายแห่ง...ถึงวันนี้ก็ยังทำอยู่

“เอาเถอะ เดิมอาจฝืนใจเชื่อว่ารัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่สาบานด้วยสัตยาต่อหน้าพระพักตร์ จะจงรักภักดีจริง ที่ทำเฉยเพราะไม่อยากฟื้นฝอย แต่มาคราวนี้ รัฐบาลและเพื่อไทย จงใจชัดเจนว่าตั้งใจนิรโทษ คนเหล่านี้ ตามนัยเนื้อหาของข้อ ๓ และ ๔ ที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม

“ขุดโคตรมาด่าแล้วยังไม่ผิด มันปากแล้วไม่ต้องรับผิดชอบ ใส่สีตีไข่ ล่วงละเมิดอย่างไงก็ได้ ยิ่งทำยิ่งดัง ยิ่งเด่น ยิ่งได้ราคา แล้วไม่ต้องกลัวกฎหมายอันใด เพราะนายกูจะนิรโทษให้ ทุกคนและทุกครั้ง

“ถ้ารัฐบาลและพรรคการเมือง ผ่านนิรโทษกรรมให้กลุ่มนี้จริง พวกเราคนในราชตระกูล และประชาชนคนรัก ในสถาบันพระมหากษัตริย์จะถือว่า รัฐบาลและนักการเมืองผู้นั้น มันทรยศต่อคำถวายสัตย์ปฏิญาณ มันตระบัดสัตย์ต่อพระพักตร์ มันหยามย่ำยีความเป็นยุติธรรม มันอกตัญญู รู้เช่นเห็นชาติแลถือหางให้สถุลเหล่านี้ บดขยี้ราชวงศ์จักรี เพื่อให้นายมันและตระกูลมัน เป็นประธานาธิบดีคนแรกของสยามจริงตามคำพูดของมัน

“มันด่าพ่อกู โดยใช้พวกนักวิชาการชั่วๆ เช่นไอ้สมศักดิ์ และอีกหลายๆตัว อย่างไร้เหตุผล มันรู้ มันตั้งใจ มันอกตัญญูเพื่อเรียกราคาให้ตัวเอง ข่มเหงพ่อกู แล้วรัฐบาลกลับเข้าข้างมัน วางแผนชั่วเพื่อเป็นใหญ่ พวกมึงนิรโทษได้ ก็แต่ในสภาของพวกมึง แต่กูและพวกรักพ่อกู จะบัญญัติกรรมให้พวกมึงเอง ถ้ามึงนิรโทษกลุ่มนี้จริง พวกกูเอามึงแน่...”




เตือนทหารระดับนายพัน ต้องสำนึกถึงพระคุณสถาบันฯ

นอกจากนี้เมื่อวันที่ 18 ก.ค. “ท่านใหม่” ยังได้โพสต์ข้อความถึงกรณีที่มีข่าวระบุว่าระบบทักษิณกำลังสั่งให้มีการจัดทัพนายทหารระดับผู้พันที่คุมกำลังรบให้เข้ามาเป็นทหารในร “ระบบทักษิณ” โดยระบุว่า

“ผมได้อ่าน Post ของคุณ ไทกร พลสุวรรณ เรื่องระบบทักษิณสั่งจัดทัพ นายทหารระดับผู้พันคุมกำลังรบ โดยให้ทนายถุงขนม 2 ล้าน จัดทำโผ และเรียกนายทหารระดับผู้พันคุมกำลังรบต่างมาเข้าแถวเป็นทหารระบบทักษิณ

“ถ้าข่าวนี้เป็นความจริง ผมอยากเตือนสติ ท่านผู้บังคับกองพันต่างๆ ให้นึกถึงในอดีตเมื่อพวกท่านเริ่มเข้ามาเป็นนักเรียนนายร้อยว่า พวกท่านเข้าแถวทุกเช้าก่อนเขาเรียนพวกท่านได้ให้ สัตย์ปฏิญาณต่อหน้า พระบรมอนุสาวรีย์ สมเด็จปู่ของพวกท่าน คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ว่า ‘ข้าพระพุทธเจ้าจะรักษามรดกของพระองค์ท่าน (ซึ่งหมายถึงประเทศชาติ) ด้วยชีวิต’ ทุกๆ วัน จนพวกท่านเดินออกจากรั้วโรงเรียน นายร้อย จปร. จนติดยศเป็นนายทหารสัญญาบัตรเป็นใหญ่เป็นโตกัน และ

“ขอเตือนโดยเฉพาะพวกนักเรียนเตรียมทหาร รุ่น 25 หรือ จปร รุ่น 36 เป็นต้นไปจนปัจจุบัน ที่ปัจจุบันนี้พวกท่านอาจจะเป็นถึงระดับ ผู้การ หรือระดับผู้บังคับกองพันที่ทางทนายถุงขนม 2 ล้านของทักษิณ เข้ามาจัดแถวเป็นทหารระบบทักษิณ ผมอยากให้พวกท่านผู้พัน ผู้การที่หลงผิด เห็นแก่ ลาภยศ และเงินทองมากกว่าศักดิ์ศรีของการเป็นนายทหารของพระมหากษัตริย์ พวกท่านผู้พัน ผู้การทั้งหลาย เคยจำ หรือเคยสำนึกในความดี ความรัก ที่พระอาจารย์ของพวกท่าน คือ พลเอก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ที่พระองค์ทรงเสียสละเวลาส่วนพระองค์ เสด็จจาก กรุงเทพฯ มาเป็นระยะทางนับร้อยๆ กิโลเมตรมาสอนพวกท่าน ผู้พัน ผู้การทั้งหลาย ทั้งๆ ที่ทรงมีพระภารกิจมากมาย พวกท่านเคยสำนึกบ้างไหมในความเสียสละของพระองค์ท่าน

“พอระบบทุนสามานย์เข้ามา พวกท่านบางคน ผมขอย้ำว่าบางคน ก็ละทิ้งศักดิ์ศรีของความเป็นทหารของประชาชน และของพระมหากษัตริย์ ความกตัญญูต่อสถาบันที่อยู่เคียงข้างต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่เราตั้งชาติจนเป็นชาติไทยในปัจจุบัน เพื่อเห็นแก่เงินทอง ลาภยศในอนาคต ที่ผมเขียนมานี่ผมขอเตือนสติผู้พัน ผู้การที่หลงผิด หรือกำลังหลงผิด ยอมสละสิ้นแล้วถึงเกียรติยศ เกียรติศักดิ์ของตัวเอง ลืมแล้วซึ่งความกตัญญูต่อพระอาจารย์ของพวกท่านที่ทรงเสียสละเสด็จมาให้ความรู้พวกท่าน แต่พวกท่านกลับเข้ามาเป็นทหารระบบทักษิณที่มุ่งทำลายประเทศชาติ และสถาบัน


“ผมขออัญเชิญโครงของล้นเกล้า รัชกาล ที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ตรัสไว้ สำหรับผู้การ และผู้บังคับกองพันทั้งหลายที่จะยอมขายศักดิ์ศรีของการเป็นทหารของประชาชน และของพระมหากษัตริย์

มโนมอบพระผู้ เสวยสวรรค์
แขนมอบถวายทรงธรรม์ เทิดหล้า
ดวงใจมอบเมียขวัญ และแม่
เกียรติศักดิ์รักข้า มอบไว้แก่ตัว”


พลตรีหม่อมเจ้าจุลเจิม ยุคล หรือ พระนามลำลองว่า "ท่านใหม่" ถือเป็นยุคลรุ่นที่ 4 โดยเป็นพระโอรสลำดับพระองค์ที่ 4 ในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ พระโอรสในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลฑิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศร์ (พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแด่ พระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์) กับ หม่อมอุบล ยุคล ณ อยุธยา (นามสกุลเดิม สุฤทธิ์) ประสูติเมื่อวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2490 ทรงศึกษาชั้นประถมที่โรงเรียนวชิราวุธ และชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนสาธิตประสานมิตร ก่อนจะได้รับการส่งไปศึกษาต่อจนจบมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียน Kemper Military School รัฐ Missouri ประเทศสหรัฐอเมริกา และทรงศึกษาต่อจนจบปริญญาตรีด้านวิศวกรรมไฟฟ้า จากมหาวิทยาลัย Western Pacific University (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัย California Miramar University)

ทรงมีพระเชษฐา พระเชษฐภคินี และพระขนิษฐา รวม 5 พระองค์ด้วยกัน คือ ท่านหญิงมาลินีมงคล อมาตยกุล (พระนามเดิม หม่อมเจ้าหญิงมาลินีมงคล ยุคล), ท่านหญิงปัทมนรังษี เสนาณรงค์ (พระนามเดิม หม่อมเจ้าหญิงปัทมนรังษี ยุคล), หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล หรือ ท่านมุ้ย และ หม่อมเจ้านภดลเฉลิมศรี ยุคล หรือ ท่านยุ้ย พล.ต.ม.จ.จุลเจิม เสกสมรส 2 ครั้ง ในครั้งแรกกับ หม่อมศิริพร ยุคล ณ อยุธยา (เสนาลักษณ์) ซึ่งถึงแก่กรรมด้วยโรคมะเร็งเมื่อวันที่ 12 ส.ค. 2532 ต่อมาได้ทรงเสกสมรสใหม่กับ หม่อมอัญชลี ยุคล ณ อยุธยา (ขัติยสุรินทร์) ในปี พ.ศ. 2533 มีโอรส - ธิดา 4 คน ดังนี้ หม่อมราชวงศ์รังษิพันธ์ ยุคล หรือ ชายเหมา ในหม่อมศิริพร, หม่อมราชวงศ์จันทรลัดดา ยุคล หรือ หญิงแอร์ ในหม่อมศิริพร, หม่อมราชวงศ์แม้นนฤมาส ยุคล หรือ หญิงแม้น ในหม่อมอัญชลี และ หม่อมราชวงศ์จันทรนิภา ยุคล หรือ หญิงไหม ในหม่อมอัญชลี


กำลังโหลดความคิดเห็น