ผ่าประเด็นร้อน
หลายคนเชื่อว่าเปิดสภาสมัยสามัญตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมเป็นต้นไป การเมืองจะร้อนแรงแน่นอน ซึ่งก็คงจะเป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะเมื่อพิจารณาแต่ละเรื่องที่จ่ออยู่ล้วนแล้วแต่เป็นชนวนสร้างความขัดแย้งทั้งสิ้น ทั้งขัดแย้งกันเองระหว่างคนในรัฐบาล ในพรรคเพื่อไทย และภายในคนเสื้อแดงด้วยกันเองว่าจะเอาอย่างไรกันแน่ เพราะถ้าเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง มันก็ดันทำให้อีกบางคนที่เป็น “นายทุนใหญ่” ไม่ได้ประโยชน์ ครั้นจะเลือกแค่บางฉบับแม้ว่าระดับชาวบ้านส่วนใหญ่จะได้อานิสงส์ แต่เมื่อบรรดา “หัวโจก” ไม่ได้รับการล้างผิดมันก็ผ่านยาก ซึ่งดูแล้วมันน่าเวียนหัว แต่ถ้าตั้งหลักค่อยๆ พิจารณามันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าแต่ละกลุ่มก็ต้องการให้ “ตัวเองรอด” เท่านั้น
นี่ว่ากันเฉพาะเรื่องร่างกฎหมายที่ค้างคารอพิจารณาในสภาอยู่ในอันับต้นๆเป็นวาระด่วนทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นร่างพระราชบัญญัตินิรโทษฯ ที่เสนอโดย วรชัย เหมะกับพวก ร่างพระราชบัญญัติปรองดองที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผลักดันผ่านทางพีรพันธุ์ พาลุสุข รวมไปถึงอีก 5-6 ร่างในลักษณะเดียวกันรวมทั้งหมด 8 ร่าง ส่วนใหญ่มีเป้าหมายเพื่อล้างผิดแบบ “เหมาเข่ง” นั่นคือทุกกลุ่มทุกสี ไม่มีเว้น มีเพียงร่างนิรโทษฯที่เสนอโดยกลุ่มญาติของคนเสื้อแดงกำลังเสนอเข้าไปใหม่ล่าสุดนั่นคือให้จำกัดการล้างผิดเฉพาะระดับชาวบ้าน และกำลังขอร้องให้รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยช่วยผลักดัน แต่ก็มีแนวโน้มจะได้รับการขัดขวางจากพวกเดียวกัน เหตุผลก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าตัวเองไม่ได้ประโยชน์
อย่างไรก็ตาม นอกจากร่างกฎหมาย “ของร้อน” ดังกล่าวแล้วยังมีกฎหมายเรื่องเงินที่เร่งด่วนไม่แพ้กันนั่นคือ ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 57 และร่างเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท กำลังจ่อเข้ามาในคราวเดียวกัน เพียงแค่นี้ก็ยังทำให้เกิดอาการเครียดกันไปทั่วแล้ว อีกทั้งยังไม่นับถึงคำขู่ที่บอกว่าให้พิจารณาสองร่างกฎหมายดังกล่าวหลังร่างพระราชบัญญัตินิรโทษฯ อีกด้วย มันก็ยิ่งทำให้น่าจับตา แล้วยังมีร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ยังรอลุ้นว่าจะผ่านด่าน ที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังเตรียมวินิจฉัยว่าขัดมาตรา 68 เรื่องเจตนาล้มล้่างการปกครองฯหรือไม่
แต่ถ้าพิจารณากันตามสถานการณ์ความเป็นจริง ไม่ใช่เป็นแค่ราคาคุยเพื่อ “สร้างภาพ” ปั่นราคาของบางคนแล้วก็ต้องบอกว่านั่นมันแค่ลีลาของแต่ละคนเท่านั้น บางคนทำเพื่อรักษาเรตติ้งของตัวเองไปพลางๆ เหมือนกับ “จำอวด” คั่นเวลาไปเท่านั้นเอง
หากให้สรุปในตอนนี้เพื่อให้เข้าใจง่ายก็ต้องบอกว่า มีเพียงสองเรื่องเท่านั้นที่พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะต้องทำก่อนหลังจากเปิดสภาแล้วก็คือ ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณปี 57 ร่างเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท และร่างนิรโทษฯ-ปรองดองในสารพัดชื่อ ซึ่งแน่นอนว่ามีแนวโน้มชัดเจนแล้วหากพิจารณาจากท่าทีของวิปรัฐบาลว่า “เรื่องเงินต้องมาก่อน” นั่นคือจะต้องพิจารณาจากร่างพระราชบัญญัติกาาเงินดังกล่าวมาพิจารณาก่อน เพราะมีผลต่อการเพิ่มเงินในกระป๋าและโปรเจ็กต์สำหรับใช้หาเสียงในอีกไม่นานข้างหน้า จากนั้นค่อยมาถกกันถึงเรื่องนิรโทษล้างผิด และล่าสุดมีการโอนอ่อนท่าทีออกมาแล้วจาก วรชัย เหมะ ส.ส.เสื้อแดงที่เสนอร่างนิรโทษฯ ให้เฉพาะมวลชนเสื้อแดงและทหารระดับล่าง ส่วนจะให้ครอบคลุมแกนนำด้วยหรือไม่ต้องไปตีความในเรื่อง “คนสั่งการ” ว่ามีใครบ้าง แต่ความหมายก็คือ “ยอมถอย” ออกมาแล้วให้ร่างงบประมาณและเงินกู้ลัดคิวเข้ามาก่อน
นี่คือรายละเอียดปลีกย่อยของพวกที่พยายามสร้างราคาเป็นข่าวคั่นเวลาเท่านั้นเอง เพราะถึงอย่างไรสำหรับรัฐบาล พรรคเพื่อไทย และแกนนำเสื้อแดงคนพวกนี้ล้วนมีสถานะแค่ “ขี้ข้าทักษิณ ชินวัตร” เท่านั้น คนพวกนี้อยู่ได้เพราะทักษิณ เป็นคนกำหนดให้เป็น ซึ่งที่ผ่านมา ขวัญชัย ไพรพนา ได้ให้นิยามมาอย่างตรงไปตรงมาแล้วว่าคนพวกนี้กิดมาเพราะทักษิณ ถ้าไม่หนุนทักษิณ หรือขณะเดียวกันถ้าทักษิณไม่เอาด้วยมันก็จบ ไม่ต้องไปคิดให้ซับซ้อน
กรณีการเสนอร่างกฎหมายล้างความผิดก็เช่นเดียวกัน ไม่ต้องมาถกเถียงกันให้เสียเวลาสำหรับคนในรัฐบาล พรรคเพื่อไทย รวมทั้งคนเสื้อแดง เพราะหากมีเนื้อหาสาระไม่ครอบคลุมไปถึง ทักษิณ ชินวัตร ไม่ให้เขาพ้นความผิดไปด้วยก็อย่าหวังว่าจะเดินหน้าไปได้ และนี่คือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ และไม่ว่าใครก็ไม่ควรดัจริตปฏิเสธ ดังนั้นเมื่อรูปการณ์ออกมาดังกล่าวมันก็ย่อมเป็นไปได้สูงแล้วว่าจะต้องการใช้เสียงข้างมากรวมทุกร่างให้เป็นร่างเดียวกัน เป็นลักษณะของการ “ล้างผิดแบบเหมาเข่ง” ซึ่งแน่นอนว่ามันก็ต้องให้ “นายทุนใหญ่” คือ ทักษิณ พ้นผิดเป็นเป้าหมายหลัก แต่ปัญหาก็คือเมื่อดันเข้ามาแบบเห็นแก่ตัวแบบนี้มันก็เกิดปัญหาสร้างความขัดแย้งในสังคมทันที และก็ต้องวัดใจว่าจะแตกหักกันหรือไม่ หรือว่าในที่สุดแล้วจะเกิดการ “ยุบสภา” เพื่อใช้เป็นข้ออ้างกลับมาผลักดันเสนอเข้ามาใหม่อีกรอบ
ดังนั้น ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นหากมองอย่างรู้ทัน ก็เป็นแค่ลีลาของแต่ละคน คั่นเวลาระหว่างที่รอการแสดงจริงกำลังจะเริ่มขึ้นอีกไม่นาน และตราบใดก็ตามถ้าคนอย่าง ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้ลบล้างความผิด ไม่ได้เงินคืน และไม่ได้กลับมามีอำนาจทางการเมืองอีกรอบก็อย่าหวังที่จะให้คนอื่นได่้ล้างความผิดไปก่อน ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มที่เห็นคาดว่าจะต้องรวมทุกร่างเป็นร่างเดียวด้วยวัตถุประสงค์ดังกล่าวนั่นแหละ แต่ถ้าทำแบบนั้นจริงมันก็ต้องเดือดแน่นอน!!