สะเก็ดไฟ
คลิป “หนูถั่งเช่า” จะมีที่มาอย่างไร ไม่น่าสนใจเท่ากับว่า หลังคลิป “เฉาเฉ่า” จากการสนทนาของ “เก๋าเจ้ง” สองตัวปรากฏต่อสาธารณชนแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้
เพราะความเป็นไปของสถานการณ์ที่ถูกกำหนดไว้เป็นเรื่องส่วนตัวของ “นักโทษชายทักษิณ” ที่กำลังจะกระทบต่อบ้านเมืองอย่างรุนแรง ไม่ใช่ “ไม่เกี่ยวกับความมั่นคง” เหมือนอย่างที่ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาฯ สมช. หนึ่งในแก๊งไอติม ลิ่วล้อของตระกูลชินวัตรออกมาระบุ
จากนายพลผู้องอาจได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากทุกเหล่าทัพ มีภาพลักษณ์เป็นที่ยอมรับในสังคม กลายสภาพเป็น “หนู” ยกย่อง “นักโทษหนีคดี” เป็นราชสีห์ได้ คนที่ได้รับเก้าอี้จากคนหนีคุกประเคนให้ ย่อมมีสภาพต้อยต่ำยิ่งกว่า “หนูในท่อน้ำทิ้ง”
จึงอาจเรียกได้ว่า “แผ่นดินมันกำลังอ่อนแอ อ่อนแออย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เหมือนเรือนใกล้จะพัง คานใกล้จะขาด เสาผุกร่อน เพราะปลวกมอดมันเจาะกินใน
ถ้าพวกเราไม่ช่วยกัน วันหนึ่งถ้ามันต้องเผชิญกับพายุร้าย แม้นแรงเพียงนิด มันก็ไม่แคล้วต้องพังทลายลง
การใช้อำนาจรัฐเข้าไปสยบกองทัพยังไม่น่ากลัวเท่ากับ จิตวิญญาณของกองทัพกำลังถูกท้าทายครั้งสำคัญ และผู้นำเหล่าทัพต้องออกมาพิสูจน์ต่อสังคมไทยว่า พวกท่านยังยึดมั่นที่จะอยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี หรือแปรเปลี่ยนเป็น
อยู่หนุนยิ่งลักษณ์ เพื่ออนาคตหลังเกษียณ
การที่มีข่าวว่า พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด โทรศัพท์พูดคุยเป็นการส่วนตัวกับผู้บัญชาการทั้งสามเหล่าทัพแล้ว ขอให้สงบนิ่ง และทำงานในหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ให้ถือว่าเป็นเรื่องปัจจัยภายนอก ที่อย่าให้มากระทบต่อกองทัพ และไม่รู้ว่าคลิปเสียงที่ออกมานั้นเป็นของจริงหรือเป็นการตัดต่อนั้น เป็นเรื่องที่น่าสังเวชอย่างยิ่ง
เพราะหากเป็นจริงตามนั้นก็แสดงให้เห็นว่าคนระดับ ผบ.สส.ซึ่งเป็นผู้กล่าวนำปฏิญาณตนต่อเบื้องพระพักตร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม 5 ธันวาคม 2555 ยังแยกแยะไม่ได้ว่าเสียงในคลิปนั้นจะใช่ของจริงจาก ท.กับ ย.หรือไม่ ทั้งที่คนทั้งประเทศเขาฟันธงได้ทันทีว่า เจ้าของสองเสียงนั้นรวมกันเป็น “ทรยศ” แน่นอน
ที่แย่คือการพูดแบบเห็นแก่ตัวว่า คลิปดังกล่าวเป็นปัจจัยภายนอก อย่าให้มากระทบต่อกองทัพนั้น แสดงว่า พล.อ.ธนะศักดิ์ ก็เป็นเพียงคนที่คิดถึงเรื่องของตัวเองมากกว่าเรื่องของชาติบ้านเมือง ซึ่งมิใช่วิสัยของชายชาติทหารที่ประกาศสละชีพเพื่อรักษาชาติ ศาสนา และราชบัลลังก์
ไม่แตกต่างอะไรกับคำกล่าวที่ไร้ค่ายิ่งกว่าการผายลมของ “ไอ้ตู่” ที่ถูกจิกเรียกในคลิปหนูถั่งเช่า ที่พูดในที่ประชุมกองทัพบกเมื่อวันที่ 9 ก.ค.ที่ผ่านมาว่า
เรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกองทัพ เพราะไม่ได้ไปนั่งคุยอยู่ด้วย เพียงแค่ถูกพาดพิง เอ่ยชื่อเท่านั้น แล้วไม่รู้ด้วยว่าของจริงหรือปลอม อีกทั้ง พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมช.กลาโหม ก็ชี้แจงแล้วว่าไม่ใช่ ก็ต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของพล.อ.ยุทธศักดิ์ กองทัพเราก็ต้องทำหน้าที่ของเราต่อไป ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องใดๆ
คำถามคือ “ไอ้ตู่” ของนายพลถั่งเช่ารู้หรือเปล่าว่า “กองทัพมีหน้าที่อะไร และต้องทำอะไร”
การระบุว่ากองทัพไม่ได้ไปนั่งคุยด้วย แค่ถูกพาดพิงนั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะหลุดออกมาจากปากของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ที่เดินกางแขนเหมือนกับเป็นฝีอยู่ใต้รักแร้ตลอดเวลา จะกลายเป็นคนตัวลีบไม่มีแม้แต่ พื้นที่จะแสดงจุดยืนในฐานะทหารซึ่งมีหน้าที่รักษาความมั่นคงของประเทศ
ส่วน “ไอ้หรุ่น” ของ “ไอ้แม้ว” ดูเหมือนจะยังไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก
คนที่ดูเหมือนว่าจะมีสติปัญญา และสายตาที่มองไกลกว่าแค่ขนตาของตัวเองกลายเป็น พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผบ.ทอ. หรือไอ้ประจิน ของไอ้หนูถั่งเช่า ที่ออกมาแสดงจุดยืนในเชิงหลักการไว้ชัดเจนกว่าคนอื่นๆ ว่า การกลับประเทศไทยของ นักโทษหนีคดีทักษิณ ชินวัตรนั้น “กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย”
ก็หวังว่า “กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย” จะหมายถึงว่า ใครทำผิดต้องได้รับโทษ ไม่มีการล้มล้างคำพิพากษา ไม่ใช่หมายความว่า ออก พ.ร.ก.นิรโทษกรรมเป็นกฎหมายเพื่อให้นักโทษพ้นผิด
ในวันที่ 11 ก.ค. 56 ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ย่างเท้าเข้ากระทรวงเป็นวันแรก ท่าทีของ ผบ.เหล่าทัพจะถูกจับจ้องจากทุกสายตาในสังคมนี้ ว่าพวกท่านจะทำอะไรได้มากกว่าการเป็นองค์ประกอบรอบตัวให้ ผู้หญิงไร้ความสามารถคนหนึ่งดูดีมีราคาในทางการเมือง
เพราะมีนายทหารมาเกาะขอบชายกระโปรงแทนการรักษาชายแดน หรือว่าจะคงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีของชายชาติทหารที่ต้องค้ำจุนแผ่นดิน ไม่ใช่เป็นแค่ฐานหนุนอำนาจการเมืองให้กับตระกูลชินฯ ที่บทสนทนาฟ้องว่าในหัวสมองมีแค่
“เงิน อำนาจ และเซ็กซ์”