“แม้ว-อ๊อด” หมดสภาพ ทำตึงเครียดมองหน้ากองทัพไม่ติด!!

ผ่าประเด็นร้อน

ไม่น่าเชื่อว่าแค่ได้ฟังคลิปเสียงที่สนทนากันทำให้ได้รู้ซึ้งถึง “ธาตุแท้” ของคนบางคนว่าเป็นอย่างไร นึกไม่ถึงว่าก่อนหน้านี้ดูเป็นผู้ใหญ่ น่านับถือเข้าอกเข้าใจบรรดาน้องๆ ในกองทัพ เข้ามาทำงานเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของกองทัพ ขณะเดียวกัน อีกคนหนึ่งก็เป็นการตอกย้ำให้เห็นว่าต้องการทำทุกทางเพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์ให้มากที่สุด โดยเฉพาะการกลับมามีอำนาจทางการเมือง และได้ควบคุมกองทัพอยู่ใต้ฝ่าเท้าอย่างเบ็ดเสร็จเท่านั้น

แน่นอนว่านาทีนี้มีใครบ้างที่เชื่อว่าคลิปเสียงการสนทนาระหว่าง ทักษิณ ชินวัตร โจรที่กำลังหลบหนีคดี กับ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม มีการ “ตัดต่อ” เพราะเมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบ ปัจจัยแวดล้อมทั้งหลายทั้งปวงแล้ว รับรองว่าต้องเชื่อตรงกันว่าเป็น “ของจริง” ร้อยเปอร์เซ็นต์ และนาทีนี้ไม่ต้องมาพูดถึงกันแล้วว่าเป็นการตัดต่อ หากคิดว่าชาวบ้านเขาไม่ได้โง่เหมือนตัวเอง นอกจากนี้ไม่ต้องไปสนใจแล้วว่า “ใครปล่อย” เพราะประเด็นมันมีแค่ว่าเสียงจริงหรือไม่จริงเท่านั้น ไม่ต้องมาเบี่ยงเบนประเด็นให้เสียเวลา

ดังนั้นสิ่งที่ต้องพิจารณากันต่อไปว่าบรรยากาศในกองทัพกับคนที่มานั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และเป็นหนึ่งเสียงสำคัญสำหรับการออกเสียงในสภากลาโหมมีผลต่อการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป พวกเขาจะมองหน้ากันติดหรือไม่ จะเกิดความระแวง เสียความรู้สึกระหว่างกันแค่ไหน ขณะเดียวกันจะได้เห็นท่าทีของ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร และ ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าออกมาแบบไหนว่าจะ “อยู่แบบมีอนาคต” หลังเกษียณอายุตามคำสนทนาระหว่าง ทักษิณ กับ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ว่า “จะหางานให้ทำ” หลังจากพ้นจากเก้าอี้ไปแล้วในปี 2557 ความหมายก็คือจะเข้ามาหมอบราบคาบกับทักษิณหรือไม่ เพราะอ้างว่าที่ผ่านมาสำหรับผู้บัญชาการทหารสูงสุดนั้นตอนแรกทำ “ยึกยัก” พูดกันไม่ค่อยรู้เรื่องมาตอนนี้ก็พูดกันรู้เรื่องแล้ว เป็นความจริงหรือไม่

ที่สำคัญก็คือ นับจากนี้เมื่อฟังจากจากคลิปเสียงดังกล่าวก็คือจะมีเป้าหมายในการ “ฮุบกองทัพ” อย่างเบ็ดเสร็จให้ได้ตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นไป โดยถึงตอนนั้นทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ธนะศักดิ์ รวมไปถึงผู้บัญชาการทหารอากาศอีกคนหนึงที่จะเกษียณอายุราชการพร้อมกัน และต้องเอาว่าหลังจากนั้น “จะมีอนาคตหรือไม่” นั่นคือถ้าหมอบราบคาบแก้วก็อาจจะรับตำแหน่งทางการเมือง มีงานมีเงินให้ใช้อะไรทำนองนี้แหละ แต่ในปีนี้ต้องเริ่มจากกองทัพเรือก่อน เพราะผู้บัญชาการทหารเรือคนปัจจุบันกำลังจะเกษียณอายุ และ ตามเสียงของ เข้าใจว่าเป็นเสียงของ ทักษิณ ชินวัตร บอกว่าจะสนับสนุนคนที่ชื่อ “อมรเทพ” ลูกเขยเสี่ยเม้ง ขึ้นมาเป็นผู้บัญชาทหารเรือคนใหม่ ทำให้น่าจับตามองว่าเป็นจริงอย่างที่พูดกันเอาไว้หรือไม่

แน่นอนว่าหากไม่โกหกตัวเองก็ต้องยอมรับว่านับจากนี้บรรยากาศระหว่างฝ่ายการเมืองกับบรรดาผู้บัญชาการเหล่าทัพ จะเต็มไปด้วยความอึดอัด และมีความหวาดระแวงกันมากขึ้น เพราะเพิ่งรับรู้ว่าที่ผ่านมามันเป็นการ “ตีสองหน้า” ไว้ใจไม่ได้ และการเปิดเหยคลิปเสียงดังกล่าวออกมามันก็ยิ่งทำให้เห็น “ธาตุแท้” ของบางคนที่คาดไม่ถึง ทั้งคนที่เข้าใจว่าเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ชื่อ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา หลายคนคงไม่นึกว่าการเข้ามารับตำแหน่งดังกล่าวเพราะมี “จุดประสงค์ซ่อนเร้น” มีเป้าหมายเพื่อเป็นเครื่องมือให้กับ ทักษิณ ชินวัตร ในการเข้ามาครอบครองกองทัพ โดยใช้ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ให้น้องสาวตัวเอง คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มานั่งควบ รวมไปถึงการให้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ มานั่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการฯนอกจากป็นการเพิ่มเสียงในสภากลาโหมแล้วยังให้เป็น “คนเดินเกม” ในกองทัพเพื่อนำไปสู่เป้าหมายทั้งหมดนั่นเอง

นอกจากนี้ จากคลิปเสียงดังกล่าวยังเผยให้เห็นเป้าประสงค์ดั้งเดิมที่ชัดเจนอีกครัั้งนั่นคือต้องการรุกคืบเข้าไป “ในวัง” ด้วยคำพูดที่ว่าหากต้องการให้ปรองดองและ “ทุกอย่างจบ” ก็ต้องตั้ง เขา(ทักษิณ)ให้เป็นที่ปรึกษาสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ให้ความหมายว่าเอาไป “หนีบ” ไว้ไม่ให้เคลื่อนไหวทางการเมือง แต่ก็ไม่ได้บอกว่าตัวเองยังสามารถส่งน้องสาวญาติพี่น้องเข้ามาหาผลประโยชน์ทางการเมืองแทนอย่างที่เป็นอยู่

สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วมีการนำมาเปิดเผยจนสังคมเกิดเสียงฮือฮากัดฟันกรอดๆ ในขณะนี้ เป็นการเปิดโปงตอกย้ำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า คนอย่าง ทักษิณ ชินวัตร มีเจตนาอย่างไร อย่างไรก็ดีจะว่าไปแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ หรือน่าแปลกใจอะไรมากมาย เพราะที่ผ่านมาหากมีการวิเคราะห์กันตั้งแต่ต้นก็ย่อมมองออกมาตั้งแต่การนั่งควบเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และให้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ว่ามีเจตนาล้วงลูกกองทัพ เพียงแต่ว่าเมื่อได้ยินเสียงในคลิปดังกล่าวมันก็เหมือน “ใบเสร็จ” ทำให้เข้าใจเส้นทางได้ชัดเจนมากขึ้น ที่สำคัญก็คือนึกไม่ถึงว่าจะ “เลวได้ใจ” ขนาดนี้

แม้ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ได้เหนือความคาดหมาย แต่ขณะเดียวกันสำหรับสังคมจะได้เห็นบรรยากาศที่ผิดปกติระหว่าง รัฐบาลกับบรรดาผู้นำเหล่าทัพว่าจะมองหน้ากันติดได้อย่างไร ในเมื่อได้ยินจากเนื้อหาแล้ว “ไม่มีราคา” เลยแม้แต่น้อย และอยากรู้ว่าในการโยกย้ายที่จะถึงนี้จะมีท่าทีแข็งขืนได้แค่ไหน และที่สำคัญเมื่อรับรู้เล่เหลี่ยมอุบาทว์ของ ทักษิณ ชินวัตร ที่ยังไม่ล้มเลิกทางลัดในการกลับบ้าน โดยคราวนี้จะขอผ่านทาง “สภากลาโหม” โดยมีข้อแลกเปลี่ยนให้ผู้นำเหล่าทัพบางคนได้หลุดพ้นคดีจากการสลายการชุมนุมเมื่อปี 53 ไปด้วย และแลกกับอนาคตทางการเมืองในวันหน้าแบบ “วิน-วิน”

แต่ความเคลื่อนไหวแบบนี้มันก็เสี่ยงทำให้เกิดปฏิกิริยาไม่พอใจจากสังคมเพิ่มขึ้น ทำให้ความหวังของ “ทักษิณ” ต้องฝันสลายอีกรอบ!!