xs
xsm
sm
md
lg

นักสิทธิมนุษยชนป้องสิทธิผู้ต้องหา เบรก “นำตัวแถลงข่าว-ทำแผน”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สมชาย หอมลออ (แฟ้มภาพ)
วงเสวนา “ทำแผนฯ-แถลงข่าว อย่างไรไม่ให้ละเมิดสิทธิ” ปธ.แอมเนสตี้ ชี้สังคมไทย ยอมรับการละเมิดสิทธิผู้ต้องหาและการแก้แค้นหากผู้ต้องหาถูกรุมประชาทัณฑ์ขณะนำตัวไปทำแผนฯ จี้ให้ใช้คำรับสารภาพผู้ต้องหาต่อหน้าทนายเป็นหลักฐานสำคัญดีกว่า เชื่อศาลพร้อมรับฟัง ด้าน สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ระบุสื่อเป็นกลไกสำคัญในการช่วยคุ้มครองสิทธิผู้ต้องหา เผยก่อนแถลงข่าว-ทำแผนฯ ควรถามผู้ต้องหาเต็มใจหรือไม่ ด้านตำรวจวอนอย่าสุดโต่ง ระบุตำรวจไม่อยากทำหากไม่จำเป็นและเห็นว่าเป็นประโยชน์สังคม

วันนี้ (3 ก.ค.) คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อพัฒนาเครื่องมือในการเฝ้าระวังการละเมิดสิทธิมนุษยชนทางสื่อ ของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ร่วมกับ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย หรือ AI จัดเวทีสาธารณะนำเสนอความคิดเห็นในหัวข้อ “ทำแผนฯ-แถลงข่าว อย่างไรให้ไม่ละเมิดสิทธิมนุด้ษยชน”

นพ.แท้จริง ศิริพานิช กสม.กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงานว่า เนื่องจากการเสนอข่าวอาชญากรรมในปัจจุบัน มีการเผยแพร่ภาพผู้ต้องหาในคดีอย่างชัดเจน ทั้งในการนำผู้ต้องหามาแถลงข่าวหรือนำผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ และมีการรุมประชาทัณฑ์ผู้ต้องหา เช่นในกรณีฆาตกรรมนายเอกยุทธ อัญชันบุตร ซึ่งการปฏิบัติงานในลักษณะดังกล่าวอาจเป็นการแทรกแซงสิทธิความเป็นส่วนตัวของผู้ต้องหา ตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 39 และหลักปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อ 11 ที่ระบุว่าก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ถือว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ ทางคณะอนุกรรมการฯ จึงเห็นว่าควรที่มีการระดมความคิดเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแสวงหาแนวทางปฏิบัติให้ถูกต้อง

พ.ต.อ.ชโลธร สิทธิปัญญา พนง.สืบสวนสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ กองบังคับการตำรวจนครบาล 2 ในฐานะผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามกฎหมายให้เป็นดุลพินิจของตำรวจที่จะพิจารณาว่าจะมีการแถลงข่าวหรือควรนำผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพหรือไม่ โดยข้อเท็จจริงตำรวจก็อึดอัด แต่ในความคิดของผู้บังคับบัญชาก็จะมองว่าการแถลงข่าวส่วนหนึ่งเพื่อประชาสัมพันธ์ผลงานของหน่วยงาน และกรณีที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ เป็นการปรามคนที่คิดกระทำผิด

ส่วนที่เกิดการประชาทัณฑ์ผู้ต้องหาตำรวจก็ห้ามปราม และคิดเสมอว่าการแถลงข่าวต้องไม่ใช่เป็นการประจานหรือให้ผู้ต้องหาเผชิญหน้ากับผู้เสียหาย อีกทั้งส่วนตัวก็เห็นว่า การนำผู้ต้องหาไปทำแผนฯ ควรให้เป็นไปเพื่อให้ได้พยานหลักฐานเพิ่มเติมที่ชัดเจนสามารถเอาผิดผู้กระทำผิดได้ ถ้าไม่ได้เป็นไปเพื่อเป็นจุดประสงค์ดังกล่าว ก็ไม่จำเป็นเพราะที่ผ่านมาก็มีคำพิพากษาของศาลฎีกา วางบรรทัดฐานไว้แล้วว่าแม้จะมีพยานหลักฐานอื่นประกอบว่าจำเลยกระทำผิด และมีการไปชี้ที่เกิดเหตุ แต่จากพยานหลักฐานดังกล่าวก็ไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิด ดังนั้นจึงไม่ถือว่าการทำแผนฯสามารถเพิ่มน้ำหนักของพยานหลักฐานเพื่อให้ศาลเอาผิดจำเลยได้เสมอไป

นอกจากนี้ก็ไม่อยากให้สังคมมองเรื่องดังกล่าวเป็นหน้าที่ที่พนักงานสอบสวนต้องเป็นผู้แก้ไข แต่สื่อฯ เองก็ควรที่จะใช้ดุลพินิจพิจารณาว่าการนำเสนอภาพการแถลงข่าวหรือการทำแผนฯอย่างไรไม่ให้เป็นการละเมิด เช่นอาจเบลอภาพ หรือไม่ถ่ายภาพผู้ต้องหาเลย

“ส่วนตัวถ้าถามว่าอยากให้ตำรวจทำแผนฯหรือไม่ ตอบได้เลยว่าไม่อยากทำ เพราะเหนื่อย เสียเวลา และยุ่งยาก ถ้าผู้บังคับบัญชาไม่สั่งการลงมา แต่ผู้บังคับบัญชาก็มองเรื่องการปกป้องสังคม อยากให้สังคมได้ประโยชน์จากกรณีที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจจะมีการละเมิดบ้าง แต่ถ้าสังคมได้ประโยชน์ ก็ไม่น่าจะเสียหายเยอะ เช่นเรื่องสาดน้ำกรด ที่มีเรื่องร้องมาหลาย สน. แต่ไม่มีการดำเนินการใดๆ จนผู้บังคับบัญชาสั่งให้ดำเนินการ ภายใน 2-3 วันก็สามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้ และมีการแถลงข่าวเพื่อให้สังคมได้รับรู้ถึงภัยสังคมที่เกิดขึ้น จึงคิดว่าทุกอย่างต้องอยู่ในทางสายกลาง อย่าไปสุดโต่ง หากมองแต่เรื่องสิทธิมนุษยชนเพียงอย่างเดียว คดีสวัสดิภาพเด็กและสตรี ตำรวจกองบังคับการสวัสดิภาพเด็กสตรี (ปดส.) แทบจะทำอะไรไม่ได้เลย แต่ถ้าถามว่าตำรวจทำตามที่นักเรียกร้องสิทธิมนุษยชนได้หรือไม่ ก็อยากทำให้ได้ เพราะไม่มีตำรวจคนใดอยากเสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง”

นายสมชาย หอมลออ ประธานคณะกรรมการเอไอ กล่าวว่า ถ้ามีการรับสารภาพของจำเลยต่อหน้าพนักงานสอบสวนและทนายความของจำเลยก็น่าจะเป็นหลักฐานเพียงพอที่น่ารับฟังได้ไม่น้อยไปกว่าการนำผู้ต้องไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ซึ่งการจัดทำแผนฯ ควรทำในเฉพาะกรณีที่เชื่อว่าจะสามารถทำให้ได้พยานหลักฐานเพิ่มเติม ส่วนการนำผู้กระทำผิดมาแถลงข่าวก็ไม่ควรที่จะนำเสนอถึงวิธีการของการกระทำความผิด แต่ควรมุ่งถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้ผู้กระทำผิดก่ออาชญากรรมเพื่อเป็นการให้ข้อมูลแก่สังคม เพราะถ้านำเสนอเรื่องวิธีการมาก อาจทำให้เกิดการลอกเลียนแบบ

นายสมชายกล่าวว่า การนำเสนอข่าวอาชญากรรมในปัจจุบันของสื่อ ต้องยอมรับว่าเหมือนเป็นการสะท้อนว่าสังคมไทยยอมรับต่อการละเมิดสิทธิของผู้ต้องหา และการเผยแพร่ภาพการประชาทัณฑ์ผู้ต้องหาก็เหมือนสังคมยอมรับว่าการแก้แค้นของผู้เสียหายสามารถทำได้ ทั้งๆ ที่เราปกครองโดยหลักนิติรัฐ การที่รัฐสร้างกลไกของระบบยุติธรรมขึ้นมาเพื่อจัดการกับผู้กระทำความผิด ก็เท่ากับว่ารัฐและสังคมต้องไม่ให้สังคมยอมรับให้การแก้แค้นหรือตอบโต้เหยื่อ อีกทั้งการนำเสนอข่าวสื่อมักจะเสนอให้ผู้ชมเชื่อไปแล้วว่า ผู้ต้องหาเป็นผู้ที่กระทำผิดจริง ทั้งที่ กระบวนการยุติธรรมยังไม่สิ้นสุด จึงอยากให้สื่อฯ และสังคมไทยให้ความสำคัญกับหลักสิทธิมนุษยชน และปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การปกครองแบบนิติรัฐเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง

ขณะที่นายสุมิตรชัย หัตถสาร สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า กระบวนการดำเนินคดีอาชญากรรมในปัจจุบัน พบว่าสื่อฯ และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ละเลยต่อหลักสิทธิมนุษยชนอย่างมาก มีการมองผู้ที่กระทำผิดเป็นเสมือนวัตถุอย่างหนึ่ง ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ไม่ได้ให้อำนาจพนักงานสอบสวนในการจัดแถลงข่าวหรือทำแผนประกอบคำรับสารภาพ และถ้าตามกฎหมายแล้วพนักงานสอบสวนมีอำนาจควบคุมตัวผู้กระทำความผิดได้เพียง 48 ชั่วโมง หลังจากนั้นต้องนำไปฝากขังต่อศาล ดังนั้น ถ้าพ้นระยะเวลาดังกล่าวการจะนำผู้ต้องมาแถลงข่าวหรือทำแผนฯ ย่อมไม่ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของพนักงานสอบสวน แต่ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลที่ต้องพิจารณาว่าจะอนุญาตหรือไม่ ถ้าเรายึดว่าบ้านเมืองปกครองโดยหลักนิติธรรม ดังนั้นเมื่อกฎหมายไม่ให้อำนาจ เจ้าหน้าที่รัฐก็ไม่อาจกระทำได้ การจะมาอ้างประโยชน์สาธารณะป้องปราม เห็นว่าเป็นเรื่องไม่ควรที่จะเป็นดุลพินิจของพนักงานสอบสวน

นอกจากนี้ยังเห็นว่า สื่อฯ ควรจะเข้ามามีบทบาทในการคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องหา โดยในการแถลงข่าวจับกุมตัวผู้ต้องหาหรือการทำแผนฯ สื่อฯควรจะถามผู้ต้องหาว่าเต็มใจหรือยินยอมที่จะแถลงข่าวและถูกเผยแพร่ข้อมูลออกไปหรือไม่ หากไม่ยินยอมก็ต้องยุติการแถลงข่าวและการเผยแพร่ แต่ในความเป็นจริงทั้งสื่อฯ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ต่างทำเกินอำนาจและกฎหมายที่กำหนดไว้ หากต่อไปผู้ต้องหาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและเกิดชนะคดี จะทำอย่างไรเพราะได้ถูกตราหน้าแล้วจากการเผยแพร่ข่าวของสื่อก่อนหน้านั้นว่าเขาเป็นคนผิด


กำลังโหลดความคิดเห็น