เดือนตุลาคมปีที่แล้ว นช.ทักษิณ ชินวัตรบอกกับนิตยสารฟอร์บส์ที่ไปสัมภาษณ์เขาที่ดูไบว่าเขาเป็นคนคิดนโยบาย จำนำข้าวเอง และให้พรรคเพื่อไทยนำไปปฏิบัติ เหมือนกับที่หาเสียงไว้ว่า“ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ”
นช.ทักษิณกล่าวว่าเรื่องนี้กลายเป็นประเด็นเพราะความอิจฉาริษยาทางการเมืองฝ่ายตรงข้ามเกรงว่า รัฐบาลจะมีอำนาจมากขึ้นจากคนระดับรากหญ้า เพราะชาวนามีความสุขจากโครงการนี้ และคนอีกกลุ่มหนึ่งที่มีปัญหาคือผู้ส่งออก
“ในอดีตผู้ส่งออกทำงานอย่างสบายๆ รัฐบาลซื้อข้าวจากชาวนาและนำไปขายให้ผู้ส่งออกในราคาถูก จากนั้นผู้ส่งออกก็นำข้าวไปขายในตลาดต่างประเทศอย่างถูกๆ เช่นกัน ไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับ 1 แต่ทำไมต้องขายข้าวราคาถูกบนความเดือดร้อนของชาวนา รัฐบาลชุดปัจจุบันต้องการให้ชาวนาอยู่รอดได้ หากทำนาแล้วขาดทุน ชาวนาก็จะทิ้งนาหันไปทำอย่างอื่น หากไทยต้องการเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับ 1 ก็ต้องช่วยให้ชาวนาอยู่รอดได้ ผู้ส่งออกต้องทำงานให้หนักขึ้น ทำการตลาดมากขึ้น เพื่อแข่งขันกับประเทศอื่น จากนั้นโลกก็จะหันมาซื้อข้าวไทย”
ก่อนหน้านั้น เมื่อตอนต้นปี นช.ทักษิณให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ว่า นโยบายจำนำข้าวตันละ 1.5 หมื่นบาทของพรรคเพื่อไทย คือ นโยบายที่ดีและเป็นประโยชนต่อชาวนามากที่สุด
"ต่อให้คิดใหม่กี่ครั้งนโยบายนี้ก็เลิกไม่ได้ เพราะเราต้องการให้เกษตรกรที่ปลูกข้าวให้เรากินต้องอยู่ได้และควรมีรายได้ขั้นต่ำเพื่อจะได้มีคนปลูกข้าวเลี้ยงเราต่อไป" ทักษิณกล่าว
ถึงวันนี้ ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกับโครงการจำนำข้าวเป็นประจักษ์พยานแล้วว่า นช.ทักษิณโกหก
ความล้มเหลวของโครงการรับจำนำข้าว หรือที่จริงคือ โครงการรัฐบาลซื้อข้าวในราคาสูงกว่าตลาด ไม่ใช่เป็นเพราะว่าสถานการณ์ราคาข้าวในตลาดโลกไม่เป็นไปตามที่ นช. ทักษิณคาดไว้ สถานการณ์ราคาข้าวในตลาดโลกเป็นปกติ ราคามีขึ้นมีลงตามกลไกตลาด แต่ นช.ทักษิณหลอกคนไทยให้เชื่อในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
ข้าวไม่ใช่สินค้าผูกขาดเหมือนธุรกิจโทรศัพท์มือถือที่สร้างความร่ำรวยให้กับ นช.ทักษิณ ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตข้าวรายเล็กๆ รายหนึ่งของโลก แต่มีประชากรน้อยกว่าผู้ผลิตรายใหญ่อื่นๆ จึงมีข้าวเหลือส่งออกได้เป็นอันดับ หนึ่งทุกปี ข้าวไม่ใช่น้ำมันหรือทองคำที่มีผู้ผลิตน้อยราย สามารถควบคุมตลาดได้ ข้าวไม่ใช่น้ำมันหรือทองคำที่ใช้แล้วหมดไปเลย ผลิตขึ้นมาทดแทนใหม่ได้ยาก แต่ข้าวปลูกได้ปีละ 2-3 ครั้งทุกปี ผู้ซื้อจึงมีทางเลือกมากมาย เมื่อข้าวไทยแพงกว่าคู่แช่ง ตลาดโลกก็หันไปซื้อจากผู้ส่งออกที่ขายในราคาต่ำกว่า เช่น เวียดนาม และอินเดีย
คนที่โกงประเทศได้อย่าง นช.ทักษิณไม่มีวันที่จะไม่เข้าใจความเป็นจริง ในโลกของการค้าข้าวเป็นอันขาด แต่เพราะต้องการผูกขาดการค้าข้าวไว้ในกำมือแต่เพียงผู้เดียว โดยใช้เงินภาษีอากรของคนไทยไปกว้านซื้อข้าวทุกเม็ดมาเก็บไว้ ในราคาตันละ 15,000 บาท นอกจากนั้นยังอวดอ้างหาเสียงเอาบุญคุณกับชาวนาได้ด้วย
ถึงวันนี้ วันที่รัฐบาลของพรรคเพื่อไทยต้องเปลี่ยนนโยบายจำนำข้าว ลดราคารับจำนำเหลือตันละ 12,000 บาท และ จำกัดวงเงินรับจำนำรายละไม่เกิน 5 แสนบาท นช.ทักษิณจะอธิบายอย่างไร
การเปลี่ยนแปลงนโยบายรับจำนำข้าวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะว่ารัฐบาล ขาดทุน ขายข้าวไม่ออก ซึ่งเป็นความจริงที่รัฐบาลปฏิเสธมาโดยตลอด แต่ที่ต้องเปลี่ยนแปลงเพราะไม่สามารถโกหกต่อไปอีกได้แล้ว หลังจากมีการเปิดเผยตัวเลขขาดทุนว่าสูงถึง 260,000 ล้านบาท และมีคำเตือนจากมูดี้ส์ ว่า ไทยอาจจะถูกปรับลดควาน่าเชื่อถือจากโครงการนี้ และท้ายสุดคือ การจนมุมกลางอากาศของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วย ไม่สามารถตอบคำถามผุ้สื่อข่าวได้ว่า ที่ว่า ขาดทุน 260,000 ล้านบาท ไม่จริงนั้น ที่ขาดทุนจริงเป็นเท่าไร
โครงการรับจำนำข้าวแม้จะล้มเหลวจนต้องเปลี่ยนเงื่อนไขลดราคารับจำนำลงไปอีกตันละ 3,000 บาทและจำกัดวงเงินรับจำนำรายละ 5 แสนบาทเท่านั้น แต่โครงการนี้ยังไม่ล้มเลิก เพราะความล้มเหลวที่เกิดขึ้นเป็นความล้มเหลว ที่ นช.ทักษิณโกหกว่าจะยกระดับราคาข้าวในตลาดโลก จะช่วยให้ชาวนามีรายได้เพิ่มขึ้น แต่วัตถุประสงค์หลักของโครงการรับจำนำข้าวคือการผู้ขาดการค้าข้าวโดยรัฐบาลยังอยู่เหมือนเดิม กลไกการโกงที่ออกแบบไว้แต่แรก ยังอยู่เหมือนเดิม
พรรคประชาธิปตย์โดย นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลกผู้เปิดแผลการทุจริตจำนำข้าว ระบุถึงกลโกงในการรับจำนำข้าวว่า มีอยู่ 10 วิธีตั้งแต่ต้นน้ำ คือ เมื่อชาวนานำข้าวมาขายให้โรงสี จนถึงขั้นปลายน้ำคือการระบายข้าว กลโกงเหล่านี้ไม่ได้รับผลกระทบจากการลดราคาจำนำเลย มีแต่ชาวนาที่ นช. ทักษิณจับเป็นตัวประกันเท่านั้นที่จะถูกกดราคาจนต่ำกว่าต้นทุนการผลิต
กลโกงขั้นที่ 5 ถึง 10 ตั้งแต่โรงสีนำข้าวเก่ามาเวียนเทียน นำข้าวจากต่างประเทศมาสวมสิทธิ นำข้าวเก่าเสื่อมสภาพมาทำเป็นข้าวถุงธงฟ้า ระบายข้าวในราคาต่ำให้พรรคพวก โดยอ้างว่าเป็นการขายข้าวแบบจีทูจี อยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวงพาณิชย์ที่นายบุญทรงเป็นรัฐมนตรี
นายบุญทรงนั้น ใครๆ ก็รู้ว่าเป็นเด็กในสังกัดของนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวของทักษิณ ที่ร่ำลือกันว่าใครอยากได้ข้าวในโครงการรับจำนำในราคาถูกตันละ 5,000 บาทไปขายแพงๆ ตันละหมื่นกว่า ต้องติดต่อผ่านคนของเจ๊ ด. ก็หมายถึงเจ๊แดง อันเป็นชื่อเล่นของนางเยาวภานี้แหละ
หากไม่เพราะเป็นรัฐมนตรีที่นางเยาวภาส่งมาควบคุมการระบายข้าวที่เอาเงินภาษีไปกว้านซื้อมาจนหมดตลาด ป่านนี้นายบุญทรงคงโดนปลดไปนานแล้ว และเมื่อนายบุญทรงถูกจับโกหกได้กลางอากาศ ตัวละครที่ถูกส่งเข้ามาแก้ไขสถานการณ์ตกแต่งบัญชี กดตัวเลขการขาดทุนให้ต่ำลง เหลือ 130,000 ล้านบาท โดยตัดตอนเอาแต่โครงการปี 2554/2555 เพียงปีเดียว คือนายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็เป็นเด็ก เจ๊แดงเหมือนกัน
การขาดทุนจากโครงการรับจำนำข้าว 260,000 ล้านบาทนั้นเป็นความเสียหายต่อฐานะการเงินการคลังของชาติ ความเสียหายที่รุนแรงกว่านั้นคือ ตลาดค้าข้าว ธุรกิจส่งออกข้าวของไทย ซึ่งสร้างตัวเจริญเติบโตมานานกว่าครึ่งศตวรรษ จนก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดส่งออกข้าวของโลก ถูกทำลายลงไปอย่างย่อยยับ เช่นเดียวกับข้าวหอมมะลิอินทรีย์แถบทุ่งกุลาร้องไห้ ที่เติบโตช้าๆ อย่างมั่นคงในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา จนสามารถส่งไปขายในยุโรปได้ ก็ถูกทำลายลงไปเมื่อเกษตรกรหันไปปลูกข้าวโดยใช้ปุ๋ย สารเคมี เพื่อขายให้โครงการรับจำนำที่ไม่สนใจคุณภาพของข้าว
นี่คือบาปกรรมที่พี่น้องตระกูล ชินวัตรทำไว้กับแผ่นดินไทย ผ่านโครงการรับจำนำข้าว พี่คนโตคิดโครงการ สั่งการ ให้รัฐบาลผูกขาดการค้าข้าว รับซื้อข้าวทุกเมล็ดในราคาสูงกว่าตลาดด้วยเงินภาษีประชาชน น้องสาวรองลงมาควบคุมการระบายข้าว ให้พรรคพวก ในราคาที่ขาดทุน ส่วนน้องสาวคนเล็กที่โง่เขลาปัญญามีหน้าที่รับหน้าเสื่อ โยนหน้าที่ความรับผิดชอบในฐานะนายกรัฐมนตรีและประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวออกไปให้พ้นตัว เพื่อต่ออายุให้กิจการค้าข้าวของตระกูล