สะเก็ดไฟ
สัญญาณรัฐบาลฮุบสื่อ-แทรกแซงสื่อตลอดจนผลักสื่อที่ไม่เห็นด้วยหรือคิดต่างกับรัฐบาลออกไปอยู่ฝ่ายตรงข้าม ชักเริ่มปรากฏให้เห็นมากขึ้นทุกที ทั้งที่มีการเปิดเผยออกมาและในทางลับ
กรณี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯจนถึง ส.ส.ที่พยายามอ้างว่า มีคนทำสื่ออักษรย่อ “ส.” คอยอยู่เบื้องหลังเคลื่อนไหวทำขบวนการล้มล้างรัฐบาลเพื่อไทย ก็คงหมายถึงใครไม่ได้นอกจาก สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม จากค่ายทีนิวส์ สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลพยายามผลักคนที่เห็นต่างให้กลายเป็นพวกล้มล้างรัฐบาล เพื่อไม่ให้อยู่ในสถานะเป็นสื่อที่จะมาวิจารณ์รัฐบาลได้
หรืออย่างกรณีที่ วันชัย สอนศิริ ส.ว.สรรหา ซึ่งมักออกมาแสดงความเห็นวิจารณ์รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยหลายต่อหลายเรื่องก่อนหน้านี้ก็ออกมาหวดหนักเรื่องความพยายามจะเสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ของเฉลิม อยู่บำรุง และ 164 ส.ส.เพื่อไทย ว่าเป็นการออกกฎหมายที่จะเอื้อประโยชน์ให้ทักษิณเต็มประตู
ล่าสุดเจ้าตัวเปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กตัวเองว่า รายการวิทยุที่จัดอยู่ตอนเช้าในลักษณะผู้ร่วมดำเนินรายการที่จะแสดงความคิดเห็นผ่านการโทรศัพท์เข้าไปในรายการที่จัดอยู่ประจำทาง FM 101 ตอนนี้ถูกยกเลิกไปแล้ว จนออกมาโวย
“กรณีที่เกิดขึ้นกับผมที่สถานีวิทยุ 101 ขัดต่อรัฐธรรมนูญชัดๆ กล้าแทรกแซง ด้วยการจะไม่ต่อสัญญาบ้างล่ะ จะเลิกสัญญาบ้าง ก็คงไม่มีใครออกหน้ามากล้ารับหรอกว่าผมสั่ง ความจริงมันมีแน่ มันข่มขู่คุกคาม ไม่ต้องการฟังคนที่เห็นต่าง ไม่ต้องการฟังการวิพากษ์วิจารณ์ในมุมที่ต่าง... ต้องการฟังการอวย ที่อวยๆ กันอยู่ก็จะอ้วกแตกอยู่แล้ว”
สื่อไหนหรือใครจะเป็นรายต่อไป ที่จะโดนรัฐบาลแทรกแซง-แทรกซื้อ-แทรกซึม ก็รอดูกันต่อไป
ว่ากันด้วยเรื่องสื่อ-องค์กรสื่อ ก็ให้น่าหวั่นใจไม่น้อยกับการที่ฝ่ายการเมืองเข้าไปบริหารกิจการสื่อของรัฐ ทั้งที่เป็นบริษัทมหาชนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯไปแล้วแต่ก็ยังเป็นองค์กรสื่อที่มีหน่วยงานรัฐถือหุ้นใหญ่อยู่ คือกรณีที่เกิดกับ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ที่กำลังมีคลื่นใต้น้ำก่อตัวเคลื่อนไหวในองค์กร เหตุเพราะพนักงานเริ่มชักจะทนไม่ไหวกับการบริหารงานของ 2 อดีตส.ส.ไทยรักไทยที่รัฐบาลเพื่อไทยส่งเข้ามาคุมอสมท.
นั่นก็คือ สุธรรม แสงประทุม อดีต ส.ส.-อดีต รมต.ค่ายไทยรักไทยหนึ่งในนักการเมืองที่ทำงานใกล้ชิดกับทักษิณ ชินวัตรมาหลายสิบปี วันนี้หลังพ้นโทษแบนคดียุบพรรคไทยรักไทย รัฐบาลก็ส่งมานั่งเป็นประธานบอร์ด อสมท เสียเลย ส่วนอีกคนก็ จักรพันธุ์ ยมจินดา อดีตคนสื่อเก่า-อดีต ส.ส.ไทยรักไทย ตอนนี้นั่งเป็นรองประธานบอร์ด อสมท อยู่
เรื่องของเรื่องก็คือ การที่ สุธรรม ประธานบอร์ด อสมท พยายามจะเร่งให้ อสมท เซ็นสัญญาซื้อการถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์จากบริษัท ซีทีเอช จำนวน 17 แมตช์ต่อปี ปีละ 160 ล้านบาท ติดต่อกัน 3 ปี เป็นเงิน 480 ล้านบาท
ท่ามกลางข่าวว่า เอนก เพิ่มวงศ์เสนีย์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.อสมท ที่ก็คือคนของรัฐบาลเพื่อไทยล็อกชื่อส่งมานั่งคุม อสมท ที่ก่อนหน้านี้ได้ให้ฝ่ายการตลาดของบริษัท อสมท ไปศึกษาความเป็นไปได้ว่าหากมีการทำสัญญาดังกล่าวจะคุ้มค่าและหาเม็ดเงินเข้ามาได้หรือไม่ ได้ข้อสรุปว่าไม่สามารถหาโฆษณาได้คุ้มกับเม็ดเงินที่จะต้องจ่ายไป
ปัญหามันเกิดตรงนี้ เพราะข้อคัดค้านดังกล่าวที่ฝ่ายผู้บริหาร อสมท ไปศึกษามามันไม่ตรงกับความต้องการของสุธรรม และจักรพันธุ์ ที่พยายามจะเร่งให้มีการเซ็นสัญญาฉบับนี้ให้ได้ก่อนวันที่ 30 มิ.ย.ที่เป็นวันสุดท้ายในการเจรจาธุรกิจนี้ โดยอ้างว่าหากไม่รีบทำสัญญาจะมีผลต่อธุรกิจได้
ถึงขั้นมีข่าวว่ากระบวนการหลายอย่างเพื่อนำไปสู่การเซ็นสัญญาดังกล่าว ฝ่ายบอร์ด อสมท มีตัวตั้งตัวตีไม่กี่คน ได้ใช้วิธีลุยงานนี้โดยข้ามหัวเอนก ที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ไปเลย เช่นพยายามไปเคลียร์กับคนในสหภาพบริษัท อสมท เพื่อให้เห็นด้วย หลังเริ่มมีข่าวออกมาได้ 2-3 อาทิตย์ก่อนหน้านี้ว่า พนักงาน อสมท ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้อย่างมาก
ซึ่งเข้าใจได้เพราะจะต้องปกป้องผลประโยชน์ของตน ถ้าเจ๊งงานนี้จะกระทบโดยตรงต่อโบนัส-ค่าตอบแทนที่พนักงานและลูกจ้าง อสมท จะได้รับ รวมทั้งจะทำให้มีผลต่อสวัสดิการของพนักงานอสมท.ด้านอื่นๆในช่วงปลายปีตามมาด้วยแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ดูแล้วเมื่อฝ่ายการเมืองระดับประธานบอร์ด-กรรมการลงมาลุยเอง ทั้งที่ควรเป็นเรื่องของระดับฝ่ายบริหารอย่างเอนก กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.อสมท จะต้องรับบทการเจรจาสัญญาดังกล่าว เมื่อเป็นแบบนี้ ดีลนี้ก็คงยากจะต้านทานได้
เว้นแต่ เอนก จะมีความเป็นมืออาชีพพอในการท้วงติงเรื่องนี้จนถึงที่สุดเพื่อรักษาผลประโยชน์องค์กรถ้ามั่นใจว่าข้อมูลเบื้องต้นที่ได้รับมาเชื่อได้ว่าดีลนี้อาจไม่คุ้มค่า แม้จักรพันธุ์ ที่ใครๆ ก็รู้ดีว่าก่อนหน้านี้ตัวเองและคนในเครือญาติก็เปิดบริษัททำธุรกิจในแวดวงสื่อโทรทัศน์วิทยุมาหลายปีแล้ว จะรับประกันกับสื่อมวลชนว่าดีลนี้ อสมท จะได้กำไร ไม่ขาดทุน
คนใน อสมท-ผู้ถือหุ้น อสมท-แวดวงสื่อและประชาชนภายนอก กำลังจับตาดูว่าเรื่องนี้จะจบอย่างไร ฝ่ายบริหารของ อสมท จะว่าอย่างไร จะยอมฝ่ายการเมืองที่อยู่ในบอร์ด อสมท หรือจะยืนยันในหลักการของตัวเองที่จะรักษาผลประโยชน์ขององค์กรจนถึงที่สุด
หรือว่า สุดท้ายหากเคลียร์กันได้ ทุกฝ่ายทั้งระดับบอร์ด-ผู้บริหาร-พนักงานใน อสมท ก็ไม่แน่ ที่มีข่าวว่ามีคลื่นใต้น้ำใน อสมท จากดีลพรีเมียร์ลีกดังกล่าว เรื่องก็อาจจบลงโดยไม่มีอะไรบานปลาย
หากวันที่ 25 มิ.ย.นี้ที่ประชุมบอร์ด อสมท มีมติเห็นชอบการทำดีลดังกล่าวแล้วมีการเปิดแถลงชี้แจงกับพนักงานและลูกจ้าง โดยทุกข้อกังขาได้รับการเคลียร์หมด บนคำยืนยันว่าจะเป็นดีลที่ไม่มีผลทำให้องค์กรขาดทุน แถมยังทำให้เรตติ้งช่อง 9 เพิ่มมากขึ้นเพราะคนไทยติดบอลพรีเมียร์ลีกยิ่งกว่าอะไร
สุดท้ายก็อาจจบลงแบบเลิกแล้วต่อกัน