ความลับแตก! กรรมการบริษัทขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 3.6 พันล้าน ที่แท้เป็นลูกจ้างร้านขายเบเกอรี รับจ้างซักผ้า แม่บ้าน แม่ครัวโรงเรียนอยู่พิจิตร เจ้าตัวเผยฐานะยากจนไม่เคยถือหุ้น ยันถูกอ้างชื่อ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักข่าวอิศรา ได้บุกพิสูจน์ความจริงหน้ากรณีผู้ประกอบการ 30 บริษัทที่จัดตั้งเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2555-17 ธันวาคม 2555 อ้างว่าประกอบธุรกิจรับซื้อขาย นำเข้าและส่งออกแร่โลหะทุกชนิด และขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจากกรมสรรพากรจำนวน 3,647.7 ล้านบาท
ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2556 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ จ.พิจิตร เพื่อตรวจสอบบุคคลที่ถูกระบุว่ามีชื่อเป็นกรรมการ พบว่า
น.ส.ทิพย์สุดา จันเสน ถูกแอบอ้างเป็นกรรมการ บริษัท วี.เอ็ม.ที.เมทัล จำกัด บ้านจันเสน ปัจจุบันพักอาศัยอยู่บ้านเลขที่ 306/3 หมู่ที่ 1 ต.บ้านบุ่ง อ.เมือง จ.พิจิตร สภาพบ้านเป็นบ้านไม้หลังเล็กๆ สภาพเก่าใกล้ผุพังเนื่องจากเคยถูกน้ำท่วมถึง เปิดเผยว่า ไม่ทราบว่าไปมีหุ้นหรือถือหุ้นเป็น 2-3 หมื่นหุ้นได้อย่างไร ไมรู้เรื่องจริงๆ ว่าธุรกิจรับซื้อนำเขาและส่งออกแร่โลหะเขาทำกันอย่างไร ก็เห็นจากสภาพบ้าน ชีวิตความเป็นทุกวันนี้ยังต้องไปทำงานเป็นลูกจ้างร้านเบเกอรีกมลพรรณ ขนมจีบซาลาเปา ที่ จ.พิษณุโลก ได้ค่าจ้างไม่ถึงหมื่นบาท ช่วงทำงานต้องทิ้งลูก 2 คนอยู่ที่บ้านที่ จ.พิจิตร ให้แม่ดูแลเลี้ยงดูแทน
“ถ้ามีหุ้นมากขนาดนั้นชีวิตความเป็นอยู่คงดีกว่านี้ เพียงเท่านี้ยังทำงานแทบไม่มีเวลาพูดคุยอะไรกับใครตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำ”
คนที่สอง นางสำเนียง จวงสาง ผู้ถูกอ้างเป็นกรรมการบริษัท เมเจอร์เมทัล จำกัด บริษัท ลีดเดอร์สตีล จำกัด และบริษัท เดอะสตาร์กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่าเดิมมีบ้านดีกว่านี้เป็นบ้านที่หลวงพ่อปรีชาสร้างให้คนยากจนแต่พอสร้างให้เสร็จ แม่ไม่ให้อยู่ด้วย จึงมาปลูกเพิงพัก เลี้ยงหมูไว้ 2 ตัว อาชีพทุกวันนี้ทำอาชีพรับจ้างซักผ้ารีดผ้า รายได้ไม่มีแน่นอน นอกจากนี้ยังต้องแบบรับภาระหลานวัยขวบเศษที่ลูกสาวทิ้งไว้ แล้วไปมีครอบครัวใหม่
ส่วนที่บอกว่ามีชื่อถือหุ้นบริษัทแร่ ส่งออก นางสำเนียงกล่าวว่า ให้พูดตามตรงไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้เลย ไม่รู้ว่าจะได้เงินภาษีคืนมาอย่างไร ก็ทุกวันนี้ก็หาเช้ากินค่ำ ยังแทบไม่มีเงินจะใช้อยู่แล้ว จะเอาปัญญาที่ไหนไปทำงานพวกนั้นให้ได้เงินมากๆ แต่ถ้าต้องให้ทำงานผิดกฎหมาย ก็คงไม่ทำดีกว่า กลัว ไม่อยากไปนอนในคุก
นางสำเนียงยังถามผู้สื่อข่าวกลับด้วยว่า “แล้วอย่างนี้ต้องทำอย่างไร จะต้องรับความผิดแทนคนอื่นไหม”
คนที่สาม นางจุฑารัตน์ โภคา ผู้ซึ่งถูกกล่าวอ้างเป็นกรรมการ บริษัท กรรมการบริษัท หอกิตติทรัพย์ จำกัด และบริษัท จีจีพีเอสไอ จำกัด ปัจจุบันเป็นเจ้าหน้าที่อยู่ในโรงเรียนพิจิตรปัญญานุกูล สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตำแหน่งแม่บ้าน เงินเดือน 5,700 บาท และมีรายได้เสริมอีกประมาณเดือนละ 700-1,000 บาท จากการเก็บขยะภายในโรงเรียนขาย
นางจุฑารัตน์ กล่าวว่า รู้สึกตกใจมากที่ทราบว่า มีหุ้นมีบริษัท หอกิตติทรัพย์ จำกัด ไม่เคยรู้เรื่องหุ้น ไม่เคยเลยหุ้น ไม่รู้ว่าการไปถือหุ้นที่ว่าถึง 8,000 หุ้นนั้นเขาทำกันอย่างไร ไม่ทราบว่าใครเอาชื่อไปแอบอ้าง
“เราก็เงินเดือนนิดเดียว ทำงานตั้งแต่ ตี 5 ครึ่ง จนถึง 6 โมงเย็น จึงเลิกงานมีวันหยุด 1 วัน วันอาทิตย์ งานหนัก งานเยอะ ทำงานแทบไม่มีเวลาคิดหรือทำอะไรแค่ทำงานอย่างเดียวก็หนักมากแล้ว ส่วนชีวิตครอบครัวความเป็นอยู่กัน 3 คนพ่อแม่ลูก ก็พอกินเท่าที่มี จะมีกินดีบางวันที่ขายขยะได้เงินเป็น 100 บาท เท่านั้นจะซื้อหมูไก่บ้าง”
และบอกว่าทั้งชีวิตไม่เคยเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ตลอดชีวิตอยู่บ้านที่ จ.พิจิตรมาโดยตลอด พอทราบว่าตัวเองเป็นข่าว ก็ไม่ได้กังวลใจอะไร เพราะไม่ใช่สิ่งที่เราทำ ไม่รู้เรื่องนี้จริง ๆ แต่ก็ไม่ทราบว่ามีใครเอาชื่อเราไปใช้แอบอ้างตรงจุดนี้ได้อย่างไร
คนที่สี่ นางอารีวัลย์ แฟงเอม ผู้ถูกกล่าวอ้างเป็นกรรมการบริษัท โอ.เอ.โอ.พี จำกัด และบริษัท พี.เอส.สำราญ จำกัด บอกว่าเพิ่งทราบเรื่อง รู้ทางโทรศัพท์ นี่แหละรู้สึกตกใจมาก ไม่ทราบเรื่องเป็นมาอย่างไร เพราะตลอด 10 กว่าปี ทำงานอยู่ที่โรงเรียนโรงเรียนพิจิตรปัญญานุกูล สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มาโดยตลอด ตำแหน่งแม่ครัว ได้รับเงินเดือน 6,300 บาท ทำงานเก็บเงินสร้างบ้านปูนชั้นเดียว หลังไม่ใหญ่มาก เป็นเงินจากน้ำพักน้ำแรง ไม่เคยไปทำงานทุจริตผิดกฎหมายก็รู้สึกภูมิใจ
“เรื่องที่สอบถาม กรณีเข้าไปถือหุ้นนั้น ไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะไม่ทราบในเรื่องนี้ คิดว่าคงมีคนเอาชื่อไปแอบอ้าง หรือไม่ก็คงมีคนชื่อนามสกุลเหมือนกัน ยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและไม่ทราบเรื่องจริง ๆ”