สะเก็ดไฟ
แรงสะท้อนกลับจากสไกป์ทักษิณ ชินวัตร กลางเวทีปราศรัยใหญ่สี่แยกราชประสงค์ เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 19 พ.ค. 56 ออกมาเป็นชุด
แน่นอน คนรัก-เชียร์ก็ต้องบอกว่าพูดได้ดี หลายเรื่องที่คนยังไม่รู้ก็ได้รู้ แต่เสียงส่วนใหญ่กลับมองว่าหลายประเด็นที่ทักษิณพูด กลับย้อนศรเข้าตัวเองเสียมากกว่า
เพราะในความพยายามพูดแบบเอาดีใส่ตัว ป้ายความชั่วให้คนอื่นที่ทักษิณ-เพื่อไทยและเสื้อแดงถนัดนัก พบว่าหลายประเด็นที่ทักษิณพยายามนำเสนอ หากดูกันให้ดีๆ แล้ว กลับยิ่งเปลือยธาตุแท้ความเป็น นักธุรกิจการเมือง-เล่ห์เหลี่ยมปีศาจของทักษิณให้เด่นชัดมากขึ้น
ยิ่งที่พยายามพูดเพื่อทำลายองค์กรอิสระ-ฝ่ายตรงข้าม เพื่อฟอกผิดตัวเองแต่นำเรื่องมาเล่าในจังหวะที่ล่าช้ามากเกินไปหลายเรื่องย้อนหลังไปตั้งร่วม 13 ปีที่แล้ว แต่กลับเอามาพูดแล้วก็พูดแบบลอยๆ หาคนยืนยันหรือพยานหลักฐานมายืนยันไม่ได้ ขาดซึ่งที่มาที่ไปอันตรวจสอบไม่ได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง
นั่นก็คือ การที่ทักษิณพูดถึงเรื่องว่าตอนโดนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ชุดที่มี นายโอภาส อรุณินท์ อดีตอัยการสูงสุดเป็น ประธานกรรมการ เข้าสอบสวนเรื่องคดีซุกหุ้นให้กับคนขับรถและคนรับใช้ในช่วงก่อนการเลือกตั้งใหญ่ปี 2544 แล้วระหว่างที่การสอบสวนคดียังดำเนินต่อไป
ก็ปรากฏว่าได้ไปเจอกับคนที่ทักษิณบอกว่าเจ้าตัวอ้างว่าเป็นคนของสำนักงานป.ป.ช.ที่บ้านพักจังหวัดเชียงราย ของณรงค์ วงศ์วรรณ อดีตหัวหน้าพรรคสามัคคีธรรม มาพูดคุยด้วยบอกจะช่วยดำเนินการช่วยเหลือคดีให้แต่ขอเงินค่าดำเนินการ เป็นเงินก้อนใหญ่นำหน้าด้วยเลข6 แต่ก็ยังไม่ได้ตกลงอะไรกัน
ทักษิณบอกว่าต่อมาระหว่างที่ป.ป.ช.ยังไม่ได้ลงมติชี้มูล ก็ไปพบกับคนดังกล่าวอีกครั้งที่บ้านพักของณรงค์ วงศ์วรรณ ในซอยพหลโยธิน การพูดคุยรอบที่สอง ชัดเจนมากขึ้นเพราะที่บอกว่าค่าดำเนินการคือ 6 ไม่ใช่ 6 ล้านหรือ 60 ล้าน แต่เป็น 600 ล้านบาท จึงปฏิเสธจะจ่ายให้ จนโดนป.ป.ช.ชี้มูลความผิดคดีซุกหุ้น
เรื่องราวที่ทักษิณเล่า มีอะไรน่าสนใจไม่น้อย สำหรับคนที่รู้ว่าทั้งสองคนรู้จักกันมาหลายสิบปีจากรุ่นสู่รุ่น ตั้งแต่รุ่นอาของทักษิณ คือสุรพันธ์ ชินวัตร อดีตส.ส.เชียงใหม่ที่สนิทกับณรงค์ที่เป็นนักการเมืองรุ่นใหญ่ภาคเหนือมาด้วยกัน ความสนิทดังกล่าวก็ถ่ายทอดมาถึงทักษิณด้วยที่ก็สนิทกับรุ่นลูกของณรงค์อย่างอนุสรณ์ วงศ์วรรณ อดีตรมว.วัฒนธรรมยุครัฐบาลพรรคพลังประชาชนด้วยเช่นกัน
จนมีเรื่องเล่าขานวงในด้วยซ้ำว่า ทักษิณเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม ก็เคยส่งท่อน้ำเลี้ยงข้ามพรรคไปให้กลุ่มเทิดไทของณรงค์ วงศ์วรรณในพรรคชาติไทยยุคบรรหาร ศิลปอาชาเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีแกนนำกลุ่มเวลานั้นอย่างเช่น เนวิน ชิดชอบ ไพโรจน์ สุวรรณฉวี
การที่ทักษิณเอ่ยว่าได้ไปเจออดีตคนของป.ป.ช.ที่บ้านพักณรงค์ ได้เพิ่มน้ำหนักน่าสนใจ แม้ว่าเวลานี้แทบไม่มีใครรู้จักชื่อณรงค์ที่เลิกเล่นการเมืองมาสิบกว่าปีแล้ว แต่ทักษิณอ้างที่พบกันเป็นที่บ้านณรงค์เพื่อให้เห็นว่าไม่ได้อ้างลอยๆ
ที่บอกว่าเรื่องนี้มันเป็นการเปลือยตัวตนของทักษิณก็คือ ทำไมเมื่อมีการเสนอเรื่องการจะช่วยเหลือเรื่องคดีซุกหุ้นให้พร้อมกับขอเงินค่าดำเนินการ ทักษิณไม่ปฏิเสธบอกไม่ต้องการตั้งแต่เวลานั้น ทั้งที่ก็รู้ว่าข้อเสนอดังกล่าวเป็นเรื่องร้ายแรงเป็นการติดสินบน ใช้เงินล้มคดี ซื้อองค์กรอิสระ แต่กลับไปคุยกันอีกรอบที่บ้านณรงค์ จนเมื่อรู้ว่าขอถึง 600 ล้านบาทจึงไม่ยินยอม
การไม่ยอมปฏิเสธตั้งแต่แรก แถมยังไปคุยกันอีกเป็นครั้งที่สอง แสดงให้เห็นว่า ทักษิณ ไม่ใช่นักการเมือง-อดีตผู้นำประเทศที่มีความโปร่งใสในการทำงานมาตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีด้วยซ้ำ
เพราะเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องร้ายแรง การเรียกรับเงินจากหัวหน้าพรรคไทยรักไทยที่ตอนนั้นกระแสแรงมากและถูกคาดหมายจากทุกฝ่ายว่าได้เป็นนายกรัฐมนตรีชัวร์ๆ จริงๆ แล้วหากเป็นเรื่องจริง ทักษิณควรต้องออกมาแฉตั้งแต่ตอนมีการคุยกันสองครั้งด้วยซ้ำ แต่ทำไมกลับไม่ทำ หรือถ้าให้ดีที่สุดก็คือต้องมีการเอาตัวคนที่ไปเจรจามาดำเนินคดีโดยแจ้งเบาะแสและข้อมูลการเรียกรับเงินดังกล่าวต่อป.ป.ช.หรือเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเวลานั้น
แต่ทักษิณกลับไม่ทำ เพราะอะไร นี่คือสิ่งที่ต้องคิดต่อ เนื่องจากเนื้อหาการสไกป์ดังกล่าวมันได้บอกตัวตนอะไรบางอย่างของทักษิณ
จนชวนให้คนนึกถึงเรื่องประเภทถุงขนม 2 ล้านบาทที่มีคนไปทำหล่นไว้แถวๆ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก่อนจะตัดสินคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ หรือเรื่องมีคนใกล้ชิดทักษิณส่งคนไปล็อบบี้พวกอดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในชุดก่อนมีการรัฐประหาร 19 ก.ย. 49 บางคน เพื่อให้วินิจฉัยคดีบางคดี อะไรทำนองนี้ขึ้นมาทันที
ถึงบอกว่าเรื่องนี้ ที่แม้ทักษิณจะไม่ได้มีการจ่ายเงิน 600 ล้านบาท แต่มันไม่ได้ทำให้คนรู้สึกดีกับทักษิณแต่อย่างใด กลับเป็นการเปลือยตัวตนของทักษิณเสียมากกว่า
ยิ่งจู่ๆ ก็ออกมาพูดตอนนี้ โดยที่เวลาผ่านไปหลายปีมาก ข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร ก็ไม่มีใครทราบได้ คนที่มาคุยกับทักษิณบอกว่ามาจากป.ป.ช.เป็นใครมาจากไหน มีตัวตนจริงหรือไม่ หรือว่าแอบอ้างกันมา เป็นเรื่องที่กินเวลามาร่วม13 ปีแล้วตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งปี 44 การตรวจสอบเรื่องย้อนหลังยาวนานแบบนี้ก็ย่อมทำได้ยาก และคงไม่มีใครคิดจะรับเป็นเจ้าภาพ
แต่สิ่งที่ทักษิณคิดว่าได้แล้วคือทำให้พวกเสื้อแดง-คนเลือกเพื่อไทยเกิดความรู้สึกว่าองค์กรอิสระอย่างป.ป.ช.มันก็พวกเรียกรับเงิน รับสินบน แต่พอไม่ได้ก็เลยจัดการเอาผิดทักษิณเสียเลยในคดีซุกหุ้น
เป็นการเพิ่มความเกลียดชังป.ป.ช.ของพวกเสื้อแดงให้มีมากขึ้นไปอีก หากไม่มีการวิเคราะห์สิ่งที่ทักษิณพูดอย่างรอบด้านหรือดูความเป็นไปได้ของเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ ตามที่วิเคราะห์ข้างต้น
เช่นเดียวกับที่สไกป์อ้างว่ามีอดีตรัฐมนตรีสองคนที่โดนคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.)สอบสวนแล้วอดีตรมต.สองคนดังกล่าวก็ไปเคลียร์กับคตส.โดยยื่นผลประโยชน์ตอบแทนให้โดยมีการเก็บหลักฐานเอาไว้ด้วย
อันนี้ก็เช่นกัน ดูแล้วก็อ้างลอยๆ ถามว่าหากทักษิณหรืออดีตรมต.ดังกล่าวมีข้อมูลจริง ป่านนี้งัดออกมาแฉหมดแล้ว เพื่อทำลายการสอบสวนคดีของคตส.ทั้งหมดหากเป็นเรื่องจริง ไม่ต้องรอมาถึงป่านนี้หรอก แล้วทำไมไม่ทำ ไม่ทำเพราะว่าไม่มี อ้างลอยๆ เพราะตัวเองโดนคตส.เอาผิดหลายคดีใช่ไหม เลยต้องดิสเครดิตกันไป
แน่จริง ทักษิณ ก็บอกมาเลยว่าอดีตรมต.สองคนที่เอาผลประโยชน์ไปให้อดีตคตส.คือใครและอดีตคตส.คนไหน มีพฤติกรรมดังกล่าว อย่าดีแต่เห่าไปเรื่อยแบบนี้