สวนดุสิตโพลเผยผลสำรวจจากวิทยากรประชาเสวนา 220 คน ช่วงรับจ๊อบ “จารุพงศ์” เป็นที่ปรึกษาทำประชาเสวนา 69 ล้าน ยกปัญหาการเมืองแตกแยกต้องหาทางออกเร่งด่วนใน 6 เดือน แต่เน้นเปิดเวทีพูดคุย พ่วงระยะกลางแห่แหนรณรงค์สามัคคีลดแตกแยก ส่วนระยะยาวให้แก้เหลื่อมล้ำ
วันนี้ (20 พ.ค.) สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต เปิดเผยผลสำรวจหัวข้อ “การพูดจาหาทางออกประเทศไทย” ระบุว่า จากการอบรมวิทยากรกระบวนการโครงการจัดเวทีประชาเสวนาหาทางออกประเทศไทย หัวข้อ “พูดจาหาทางออกประเทศไทย” รุ่นที่ 1 จำนวน 220 คน เมื่อวันที่ 18-19 พฤษภาคม 2556 ณ โรงแรมรามาการ์เดนส์ ได้มีการสำรวจความคิดเห็นต่อการพูดจาหาทางออกประเทศไทย สรุปผลได้ดังนี้
เมื่อถามว่า 5 ลำดับปัญหาของประเทศไทย ณ วันนี้ ซึ่งสร้างความยุ่งยาก จนต้องมีการ “พูดจาหาทางออก” พบว่าอันดับ 1 การเมือง โดยเฉพาะความขัดแย้งของนักการเมือง การแบ่งพรรคแบ่งพวก ร้อยละ 37.06, อันดับ 2 เศรษฐกิจ ปากท้อง ความเป็นอยู่ของประชาชน ร้อยละ 18.18, อันดับ 3 นักการเมืองขาดคุณธรรมจริยธรรม ร้อยละ 17.51, อันดับ 4 ความขัดแย้งของคนในสังคม ร้อยละ 15.35 และอันดับ 5 ขาดความยุติธรรม ความไม่เสมอภาคในสังคม ร้อยละ 11.90
เมื่อถามว่า 5 เรื่อง ที่ควรพูดจาหาทางออกประเทศไทย เพื่อแก้ปัญหา “ระยะเร่งด่วน” (ภายใน 6 เดือน) พบว่าอันดับ 1 ความขัดแย้ง/ความแตกแยกทางความคิด ร้อยละ 25.40 โดยวิธีเปิดเวทีแสดงความคิดเห็น พูดคุยหาทางแก้อย่างสันติวิธี, อันดับ 2 การเมือง ความขัดแย้งของนักการเมือง ร้อยละ 23.02 โดยวิธีปลูกจิตสำนึกให้กับนักการเมือง พัฒนาคุณธรรม จริยธรรม, อันดับ 3 ความเหลื่อมล้ำทางสังคม ร้อยละ 20.63 โดยวิธีปรับโครงสร้างทางสังคมเพื่อลดช่องว่างทางสังคม, อันดับ 4 เศรษฐกิจ ปากท้อง ชีวิตความเป็นอยู่ ร้อยละ 19.84 โดยวิธีสร้างอาชีพ สร้างรายได้ กระจายความเจริญให้ทั่วถึง และอันดับ 5 การนำเสนอข่าวของสื่อ ร้อยละ 11.11 โดยวิธีสร้างบรรทัดฐานเพื่อให้สื่อทำหน้าที่อย่างสร้างสรรค์ตรงไปตรงมา
เมื่อถามว่า 5 เรื่องที่ควรพูดจาหาทางออกประเทศไทย เพื่อแก้ปัญหา “ระยะกลาง” (ภายใน 1-2 ปี) พบว่าอันดับ 1 ความแตกแยกในสังคม ร้อยละ 25.86 โดยวิธีจัดกิจกรรมรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมเพื่อสร้างความเข้าใจที่ดี, อันดับ 2 ความเหลื่อมล้ำทางสังคม ร้อยละ 23.28 โดยวิธีแก้ไขโครงสร้างทางสังคมให้เหมาะสมกับสภาพสังคมในปัจจุบัน, อันดับ 3 ความรู้ความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตย ร้อยละ 18.97 โดยวิธีจัดกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ทั่วถึงและครอบคลุมทุกพื้นที่, อันดับ 4 ความขัดแย้งของนักการเมือง ร้อยละ 18.10 โดยวิธีสร้างจิตสำนึกปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม เห็นแก่ส่วนรวม และอันดับ 5 การทุจริตคอร์รัปชัน ร้อยละ 13.79 โดยวิธีมีบทลงโทษที่เด็ดขาดจริงจัง มีการตรวจสอบที่ดี
เมื่อถามว่า 5 เรื่อง ที่ควรพูดจาหาทางออกประเทศไทย เพื่อแก้ปัญหา “ระยะยาว” (ภายใน 4 ปี) พบว่าอันดับ 1 ความเหลื่อมล้ำทางสังคม ร้อยละ 34.59 โดยวิธีต้องพัฒนาประเทศให้มีความเข้มแข็งในทุกๆ ด้าน, อันดับ 2 การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ร้อยละ 24.06 โดยวิธีการบังคับใช้กฎหมายให้เกิดความเป็นธรรม ถูกต้องโปร่งใส, อันดับ 3 เศรษฐกิจความเป็นอยู่ของประชาชน ร้อยละ 15.04 โดยวิธีสร้างค่านิยมของคนในชาติ เน้นหลักเศรษฐกิจพอเพียง, อันดับ 4 การมีส่วนร่วมของประชาชน ร้อยละ 13.53 โดยวิธีเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วม จัดเวทีเสวนาทั่วประเทศ และอันดับ 5 การเมือง ความขัดแย้งของนักการเมือง ร้อยละ 12.78 โดยวิธีการพูดคุย เจรจา โดยคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับโครงการจัดเวทีประชาเสวนาหาทางออกประเทศไทยนั้น นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย ในฐานะประธานกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (ปคอป.) เป็นผู้เสนอต่อคณะรัฐมนตรี และมีมติเห็นชอบโดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว ในวงเงิน 69,807,200 บาท โดยมีกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ และมีสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต ซึ่งมีนายสุขุม เฉลยทรัพย์ ประธานที่ปรึกษาอธิการบดี เป็นหน่วยงานที่ปรึกษา