"พิภพ" ลั่นการชุมนุมของภาคประชาชนเป็นไปตามประชาธิปไตยไม่ได้ทำให้ประเทศขายหน้า แต่น่าอายมากกว่าที่มีรองนายกฯความคิดขยะ แนะเปิดห้องให้ตัวแทนประชาชนเข้ารับฟังประชุมน้ำ ด้าน "อ.สมศักดิ์ เธียรจรูญกุล" ถามกลับ "ปลอดประสพ" จะเอาผู้ชุมนุมเข้าคุกด้วยข้อหาอะไร ในเมื่อเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ
วันที่ 15 พ.ค. 56 นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ นายสมศักดิ์ เธียรจรูญกุล อาจารย์สาขาวิชา นิติศาสตร์ มหาวิทยาสุโขทัยธรรมาธิราช ร่วมสนทนาในรายการ "คนเคาะข่าว" ทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ภายใต้หัวข้อ "ขยะประชาธิปไตย"
นายพิภพ กล่าวว่า ที่ภาคประชาชนต้องแสดงออกด้วยการชุมนุม เพราะนายปลอดประสพไม่เคยรับฟัง อยากฝากเตือนนายปลอดประสพด้วยความเคารพว่าอย่าคิดว่าตัวเองเชี่ยวชาญเรื่องน้ำคนเดียว ต้องมีความใจกว้าง สิ่งที่สร้างความอับอายให้ประเทศไม่ใช่การเคลื่อนไหวของเอ็นจีโอ ทีการชุมนมุของนปช. ถึงขั้นล้มการประชุมอาเซียน นายปลอดประสพไม่เคยแสดงความเห็นเลย
สิ่งที่นายปลอดประสพแสดงออกเที่ยวนี้ ถือว่าล้าหลังกระบวนการประชาธิปไตยของโลก สิ่งที่คิดก็คือขยะที่ทั่วโลกเขี่ยทิ้งหมดแล้ว ถ้าให้ดีควรเปิดห้องให้ตัวแทนประชาชนเข้าไปมีส่วนรับฟัง ว่าประเทศต่างๆและประเทศไทยเองมีแผนบริหารจัดการน้ำอย่างไร แล้วจะได้รับการยกย่องว่าเป็นนักประชาธิปไตย อีกทั้งการแสดงออกอย่างสันติเป็นประชาธิปไตยที่ทั่วโลกสรรเสริญ ไม่ใช่ทำให้ประเทศเสียหาย แต่ประเทศเสียหน้าที่มีรัฐมนตรีและรองนายกฯคิดแบบขยะ
นายสมศักดิ์ กล่าวถึงนายปลอดประสพ ว่า พูดเกินเลยไป รัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่าประชาชนมีสิทธิชุมนุมได้โดยปราศจากอาวุธ คำพูดแบบนี้ล่อแหลมต่อการขัดรัฐธรรมนูญ แม้ยังไม่กระทำยังไม่มีความผิดโดยตรง แต่คนเป็นรองนายกฯเหมาะสมที่จะพูดแบบนี้หรือ ประการต่อมาเท่าที่รู้ภาคประชาชนจะชุมนุมเรื่องโครงการบริหารจัดการน้ำเพราะมันไม่ผ่านกระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมาย เขาประท้วงความชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมันไม่ผิดกฎหมาย ฉะนั้นยังมองไม่ออกเลยว่าจะเอาประชาชนเข้าคุกด้วยข้อหาอะไร
สิ่งที่แสดงออกชี้ชัดว่ารัฐบาลกำลังเหลิงในอำนาจ ไม่ใช่แค่นายปลอดประสพคนเดียว แต่เห็นหลายๆคนในรัฐบาลก็เป็น และชอบพูดกันว่าเคารพประชาธิปไตย แต่พอถึงเวลาจริงแล้วก็เป็นอย่างที่เห็น รัฐบาลค่อนข้างไม่แคร์กฎหมาย และภาพลักษณ์ใดๆแล้ว
เมื่อถามว่ากลไกทางกฎหมายที่รองรับการชุมนุมที่สงบมีประสิทธิภาพเพียงพอหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ปัญหาส่วนหนึ่งเกิดจากกฎหมายเพราะยังไม่มีกฎหมายการชุมนุมในที่สาธารณะออกมา แต่ปัญหาใหญ่จริงๆเกิดจากการที่ภาครัฐไม่แยแสมากกว่า เช่น กฎหมายกำหนดว่าจะทำโครงการใดๆต้องผ่านการรับฟังประชาชน ทำรายงานวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม แล้วค่อยให้ครม.อนุมัติโครงการนั้นได้ แต่กรณี 3.5 แสนล้าน ผ่านครม.อนุมัติก่อนโดยที่ยังไม่ผ่านการทำรายงานวิเคราะห์สิ่งแวลดล้อมปัญหาอยู่ที่รัฐบาลมากกว่า
อีกอย่างการที่องค์กรพัฒนาเอกชนจะใช้สิทธิเสรีภาพในการมีส่วนร่วม มันติดช่องทางหนึ่งที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข คือการจะฟ้องรัฐ ช่องทางการเอาเรื่องขึ้นศาล ทุกวันนี้หลักๆ คือ ศาลปกครองและศาลยุติธรรม ที่ติดคือคดีที่นำขึ้นศาลยุติธรรมต้องมีการโต้แย้งสิทธิกันหรือพูดง่ายๆคือต้องเป็นคู่กรณีกัน ฉะนั้นองค์กรพัฒนาเอกชนไม่ใช่คู่กรณี ไปศาลยุติธรรมไม่ได้
ส่วนศาลปกครองก็มีข้อจำกัดเพราะต้องเป็นภาคเอกชนฟ้องรัฐ ทีนี้บางเรื่องภาครัฐให้เอกชนทำโครงการนั้นไปแล้ว และมาเกิดปัญหาภายหลัง พอเอ็นจีโอจะฟ้องเอกชนที่มาทำโครงการก็ฟ้องไม่ได้ เพราะไม่ใช่หน่วยงานรัฐ มันก็ติดแหงก หลายๆคดีที่เป็นปัญหาตรงนี้อยู่ ซึ่งถ้าต่อไปมีโอกาสต้องอุดช่องว่างนี้ให้ได้
