xs
xsm
sm
md
lg

ประชาธิปไตย “วงศ์ชินวัตร” พัฒนาถึงขั้นก่อม็อบไล่ศาลกันแล้ว!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

ถ้าบอกว่าการเดินขบวน หรือการก่อม็อบปิดล้อมและการข่มขู่คุกคามศาล ไม่ว่าจะเป็นศาลไหนก็ตามยกเว้นศาลรัฐธรรมนูญ หากเรียกว่านี่คือกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตย หรือการแสดงออกตามสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ตามที่อ้างกันนั้นก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องพิลึกพิลั่น เพราะถ้าเป็นแบบนั้นจริงต่อไปใครไม่พอใจใครก็ก่อม็อบขับไล่ปิดล้อมและประกาศจับกันได้ตามอัธยาศัยอย่างนั้นหรือ

อย่างไรก็ดี นั่นเป็นแค่ข้ออ้างสำรับสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเอง พวกของตัวเองเท่านั้น เพื่อนำมากดันข่มขู่คุกคามฝ่ายตรงข้าม ซึ่งความหมายในที่นี้ก็คือตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่กำลังถูกคนเสื้อแดงประกาศก่อม็อบใหญ่เพื่อขับไล่ในวันที่ 8 พฤษภาคมที่่จะถึงนี้ หลังจากที่ผ่านมาก็ได้มีการตั้งเวทีก่นด่าบริภาษตุลาการ รวมไปถึงประกาศหมายหัวตามล่ากันอยู่ทุกวันอยู่แล้ว

ความเคลื่อนไหวแบบนี้ หากบอกว่านี่คือการแสดงความคิดเห็นตามระบอบประชาธิปไตย เป็นสิทธิและการแสดงออกของประชาชน มันก็ถือว่าเป็นเรื่องแปลกอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันบรรยากาศที่เป็นอยู่ย่อมถือว่าวิปริตผิดเพี้ยนันไปสุดกู่แล้ว

เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มีการขับไล่ ถอดถอนตุลาการ ข่มขู่ศาล ซึ่งเกิดขึ้นในยุคของ “ครอบครัวชินวัตร” ครองเมือง หลังจากก่อนหน้านี้ได้ก่อการเผาบ้านเผาเมืองจนกระทั่งชนะเลือกตัั้งเข้ามายึดอำนาจรัฐได้สำเร็จมาแล้ว แต่อาจเป็นเพราะว่า “ภารกิจกินรวบ” ยังไม่สำเร็จ ยังมีศาล โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญที่ตัวเองยังครอบงำสั่งการไม่ได้ ไม่เหมือนกับรัฐบาล รัฐสภาที่สถานะไม่ต่างจาก “ทาส” สั่งซ้ายหันขวาหันได้ทุกเรื่องอยู่แล้ว แต่เมื่อยังมีศาลเป็นก้างขวางคอก็ต้องกำจัดให้พ้นทางให้จงได้ และนี่คือปฏิบัติเถื่อนถ่อยที่กำลังเดินหน้าเต็มตัว ซึ่งสังคมเริ่มรับรู้กันในวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ

อย่างไรก็ดี หากย้อนกลับไปพิจารณาที่มาที่นำมาถึงจุดแตกหักในคราวนี้ก็ไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะที่ผ่านมาก็มีคนรู้ทัน กล่าวถึงกันมาเ็ป็นระยะอยู่แล้ว นั่นคือต้นเหตุสำคัญมาจากเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ทำท่ามีปัญหา เริ่มมาจากการแก้ไขมาตรา 291 ก่อนเพื่อนำไปสู่การยกร่างใหม่ทั้งฉบับก็ถูกขัดขวางโดยภาคประชาชนที่ต้องการพิทักษ์รัฐธรรมนูญยื่นให้ศาลฯ ตีความว่าการแก้ไขดังกล่าวเป็นการล้มการปกครองฯมีเจตนามิชอบ ซึ่งศาลฯก็รับคำร้องและชี้แนะว่าการแก้ไขต้องถามประชาชนก่อน ทำให้ขบวนการฉีกทองรัฐธรรมนูญฉบบปัจจุบันที่ผ่านการลงประชามติถึงกว่า 14.7 ล้านเสียงต้องหยุดชะงัก ทำให้การลงมติในวาระที่ 3 ต้องค้างคามาจนถึงทุกวันนี้

แต่ขบวนการพวกนี้ก็ไม่ได้หยุดยั้งความคิด มีการเปลี่ยนวิธีการใหม่ นั่นคือการเสนอแก้ไขแบบรายมาตราเข้ามาใหม่ เสนอแยกรายฉบับเข้ามาพร้อมกันและหนึ่งในนั้นก็คือการเสนอแก้ไขมาตรา 68 ที่ต้องการตัดมือตัดเท้าภาคประชาชนไม่ให้พิทักษ์รัฐธรรมนูญได้เลย เพราะมีการเสนอแก้ไขให้ยื่นคำร้องผ่านทางอัยการสูงสุดเพียงช่องทางเดียวเท่านั้น ห้ามยื่นเรื่องถึงศาลรัฐธรรมนูญโดยตรงเหมือนในอดีต และอ้างว่านี่คือประชาชาธิไตยของพวก “ตระกูลชินวัตร”

ทั้งที่หากพิจารณากันด้วยเหตุผลพื้นๆ มันก็ไม่เห็นมีอะไรเสียหาย ถ้าให้มีชองทางทั้งอัยการและให้ประชาชนร้องได้โดยตรง ยกตัวอย่างเหมือนกับคดีอาญาทั่วไปที่มีการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชนนั่นคือในบางคดีหากอัยการสั่งไม่ฟ้องผู้เสียหายที่เป็นญาติสามารถฟ้องต่อศาลโดยตรงได้ ดังตัวอย่างที่เกิดขึ้นกรณีของ “หมอผัสพร” เชื่อว่าหลายคนยังจำกันได้

นั่นเป็นแค่ตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นถึงช่องทางที่หลากหลาย เป็นการค้ำประกันอำนาจของประชาชน ขณะเดียวกันเมื่อเปรียบเทียบกับกรณีรัฐธรรมนูญที่เป็นรื่องใหญที่สุดกลับมีการปิดชองทางของประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยแท้จริงถือว่าเป็นเรื่องพิลึก และไม่น่าจะยอมรับกันได้

นั่นเป็นหลักการทั่วไปที่ชี้ให้เห็นว่าไม่มีเหตุผลที่จะแก้ไขเพื่อตัดอำนาจของประชาชน หากจะอ้างเรื่องประชาธิปไตยเพื่อเคารพสิทธิของประชาชนอย่างแท้จริง แต่เชื่อว่าเหตุผลที่แท้จริงทุกคนคงรับรู้กันอยู่แล้ว ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญทุกครั้งนั้นมีเป้าหมายเพื่อ “อำนาจและผลประโยชน์” ของ ทักษิณ ชินวัตร เพียงคนเดียวเท่านั้น และคราวนี้นอกเหนือจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วยังมีการผลักดันร่างพระราชบัญญัตินิรโทษฯ และพระราชบัญญัติปรองดองเพื่อลบล้างความผิดให้กับตัวเองผสมโรงเข้ามาด้วย ซึ่งเมื่อวันก่อนก็ได้เปลือยตัวตนออกมาอีกครั้งว่า เขากำลัง “ลอยคอจะตายแล้ว” ทนไม่ไหวแล้ว จึงต้องสั่งเร่งเกมให้เต็มที่ เอากันแบบม้วนเดียวจบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องกำจัดศาลรัฐธรรมนูญให้พ้นทางให้ได้ และนี่จึงเป็นที่มาของการเปิดไฟเขียวให้ก่อม็อบใหญ่ขับไล่ศาล โดยอ้างประชาธิปไตย

ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งมันก็เป็นบทพิสูจน์ของสังคมไทยครั้งสำคัญว่าจะนิ่งดูดายมองดูระบบศาลถูกย่ำยีตามใจชอบจากพวกคนถ่อย ที่โกงกันทั้งโคตรแล้วอ้างประชาธิปไตย ถ้ายอมกันถึงขนาดนี้ถือว่าเป็นสังคมที่ทุเรศและอัปลักษณ์อย่างที่สุด!!
กำลังโหลดความคิดเห็น