xs
xsm
sm
md
lg

เอแบคโพลล์ชี้ 81% ไม่เชื่ีอว่ารัฐบาลนำเงินกู้ 2 ล้านล้านไปใช้อย่างโปร่งใส

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เอแบคโพลล์สำรวจพบประชาชนส่วนใหญ่ 76% ไม่เชื่อว่าการกู้เงิน 2 ล้านล้านไปใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ 81% ไม่คิดว่ารัฐบาลจะนำไปใช้อย่างโปร่งใส แนะควรนำเงินไปพัฒนาด้านการศึกษาจะดีกว่า ขณะที่ 56% ห่วงว่าต้องใช้หนี้ ส่วนสถานการณ์ภาคใต้ 87% มีความกังวล และคิดว่าเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นมาจากการที่รัฐบาลเจรจากับกลุ่มบีอาร์เอ็น

น.ส.ปุณฑรีก์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง “ความกังวลต่อการใช้หนี้เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท และสถานการณ์ความไม่สงบในชายแดนใต้” พบว่า ประเด็นที่น่าสนใจคือกลุ่มตัวอย่างกว่าสามในสี่หรือร้อยละ 76.7 ไม่เชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะนำเงินกู้ 2 ล้านล้านบาทไปใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ ในขณะที่ร้อยละ 23.3 มีความเชื่อมั่น นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่หรือร้อยละ 81.7 ยังระบุอีกว่า ไม่เชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะนำเงินกู้ 2 ล้านล้านบาทไปใช้อย่างโปร่งใส

อย่างไรก็ตาม กลุ่มตัวอย่างเกือบ 1 ใน 3 หรือร้อยละ 30.3 มีความคิดเห็นว่ารัฐบาลควรนำเงินกู้ 2 ล้านล้านบาทมาใช้ในการพัฒนาด้านการศึกษามาเป็นอันดับแรก กระตุ้นเศรษฐกิจ ร้อยละ 21.9 มาเป็นอันดับสอง ด้านการเกษตร ร้อยละ 13.6 มาเป็นอันดับสาม และด้านอื่นๆ ได้แก่ การคมนาคม ร้อยละ 12.3 ด้านสุขภาพ ร้อยละ 7.5 ด้านอุตสาหกรรม ร้อยละ 3.8 ด้านการสื่อสาร ร้อยละ 3.5 และอื่นๆ เช่น การจราจร สิ่งแวดล้อม พื้นที่สาธารณะ ร้อยละ 7.1 ตามลำดับ

น.ส.ปุณฑรีก์กล่าวว่า สิ่งที่น่าพิจารณาคือ กลุ่มตัวอย่างเกินกว่าครึ่ง หรือร้อยละ 56.1 รู้สึกกังวลว่าจะต้องใช้หนี้ที่รัฐบาลจะกู้มาจำนวน 2 ล้านล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากต้องมีการกู้เงินจำนวนมากขนาดนี้แล้ว ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 50.3 จึงมีความคาดหวังกับอนาคตของประเทศชาติว่าจะต้องมีการพัฒนาไปมากกว่านี้ ในขณะที่ร้อยละ 29.5 ระบุรู้สึกเฉยๆ และร้อยละ 20.2 ระบุไม่มีความคาดหวัง

เมื่อสอบถามเพิ่มเติมถึงสถานการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในขณะนี้ พบว่า กลุ่มตัวอย่างจำนวนมากหรือร้อยละ 87.3 รู้สึกกังวลต่อสถานการณ์ในขณะนี้ โดยระบุเพิ่มเติมว่า สถานการณ์นับวันจะยิ่งจะรุนแรงขึ้น จึงมีความกังวลและห่วงใยทั้งประชาชนที่พักอาศัย เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในบริเวณนั้น และความมั่นคง ความสงบสุขของประเทศชาติ

โดยที่กลุ่มตัวอย่างส่วนมาก หรือร้อยละ 64. 5 เห็นด้วยกับการลงไป 3 จังหวัดชายแดนใต้ของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง โดยให้เหตุผลว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ สร้างขวัญกำลังใจให้กับประชาชนและเจ้าหน้าที่ จะได้รับรู้ถึงสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้น ควรแสดงความเป็นผู้นำและความรับผิดชอบ เป็นต้น ในขณะที่ร้อยละ 26.5 ระบุไม่เห็นด้วย เพราะคิดว่าลงไปก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ เป็นภาระให้แก่เจ้าหน้าที่ อาจจะทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้น และเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายหรืออุบัติเหตุ เป็นต้น อย่างไรก็ตามกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 60.1 คิดว่าการลงไป 3 จังหวัดชายแดนใต้ของ ร.ต.อ.เฉลิม จะไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น

น.ส.ปุณฑรีก์กล่าวว่า ที่น่าพิจารณาคือ กลุ่มตัวอย่าง 1 ใน 3 หรือร้อยละ 33.5 คิดว่าสถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่รุนแรงขึ้นในขณะนี้มีผลมาจากการตกลงเจรจากับกลุ่มขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปัตตานี (บีอาร์เอ็น) ส่วนร้อยละ 29.8 คิดว่าไม่ใช่ และร้อยละ 36.7 ระบุไม่แน่ใจ แต่ถึงอย่างไรก็ตามกลุ่มตัวอย่างเกินครึ่งหรือร้อยละ 52.9 ระบุว่าควรให้มีการเจรจาต่อไป

ผช.ผอ.เอแบคโพลล์ กล่าวเสริมว่า การกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทในครั้งนี้จะเป็นสิ่งที่ดีหากรัฐบาลมีการนำเงินไปใช้เพื่อการพัฒนาประเทศชาติอย่างจริงจังจนเห็นผลของการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น สิ่งที่สำคัญคือรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐควรมีการแจกแจงรายละเอียดการใช้จ่ายงบประมาณให้สาธารณชนรับทราบอย่างละเอียดถี่ถ้วน ควรนำเงินกู้ก้อนนี้เข้าระบบการคลังเพื่อทำให้การนำงบประมาณจากเงินกู้ก้อนนี้ไปใช้ผ่านการจัดสรรอย่างเป็นระบบและสามารถตรวจสอบได้ในทุกเม็ดเงิน ซึ่งทำให้สาธารณชนรับทราบว่าเงินถูกนำไปใช้อย่างคุ้มค่าคุ้มทุน ผลที่ตามมาคือ แต่ละฝ่ายก็จำเป็นต้องทำการบ้านมานำเสนอต่อประชาชนทั้งประเทศ

ในขณะที่รัฐบาล หน่วยงานรัฐและคณะบุคคลที่เกี่ยวข้องจะได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ (Effectiveness) มีประสิทธิผลคุ้มค่าคุ้มทุน (Efficiency) และมอบหมายสิทธิอำนาจความรับผิดชอบ จัดวางคณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ (Accountability) เพราะจากผลสำรวจข้างต้นแสดงให้เห็นแล้วว่าประชาชนส่วนใหญ่เกือบทั้งประเทศต้องการเห็นความโปร่งใสเกิดขึ้นในการใช้จ่ายเงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาทนี้

อย่างไรก็ตาม การกู้ไม่ใช่เพียงหนทางเดียวในการหางบประมาณเพื่อนำมาพัฒนาประเทศ รัฐบาลอาจจะพิจารณาแนวทางอื่นร่วมด้วย อาทิ การปล่อยสัมปทานแล้วกำหนดระยะเวลาและขอบเขตของการรับผลประโยชน์ หรือการกำหนดอัตราส่วนจากรายได้ของรัฐเพื่อนำมาเป็นงบประมาณในการพัฒนาประเทศ เป็นต้น นอกจากนี้รัฐบาลก็ควรเป็นผู้นำที่ดี สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนว่าจะสามารถช่วยแก้ปัญหาและบรรเทาทุกข์ ความเดือดร้อนของประชาชนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผลสำรวจระบุชัดเจนว่าประชาชนไม่มีความมั่นใจว่าคนที่ต้องรับผิดชอบด้านปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้นั้นจะสามารถบรรเทาความรุนแรงของสถานการณ์ได้


กำลังโหลดความคิดเห็น