นักเคลื่อนไหวแรงงาน พร้อมด้วย ส.ส.ปชป. ผู้เสนอร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคมฯ แถลงไม่พอใจ หลังเสียงส่วนใหญ่ในสภาตีตกร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคมฯ โวยกองทุน ปกส. ไม่โปร่งใส รัฐบาลเคยพูดว่าจะช่วยเหลือ แต่ไม่เคยฟังเสียงของผู้ใช้แรงงาน ซัดบริหารประเทศเผด็จการ เอาแต่เสียงส่วนใหญ่ วอนแรงงานทั่วประเทศปฏิเสธรัฐบาลชุดนี้
วันนี้ (21 มี.ค.) ที่รัฐสภา นายนคร มาฉิม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ประชุมรัฐสภาฯ มีมติเสียงส่วนใหญ่ไม่รับร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคมฯ ที่ตนเสนอ 1 ร่างและที่ประชาชนเข้าชื่อเสนออีก 1 ร่างว่า ตนต้องขอแสดงความเสียใจไปยังประชาชนผู้ใช้แรงงานทั่วประเทศที่สภาฯ มีมติเช่นนี้ ทั้งที่ร่างทั้ง 2 ร่างเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้แรงงานหากได้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น โดยเฉพาะปัญหาของกองทุนประกันสังคมที่มีปัญหามาอย่างต่อเนื่อง แต่รัฐบาลกลับไม่มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาให้กับผู้ใช้แรงงานอย่างแท้จริง
ด้าน น.ส.วิไลวรรณ แซ่เตีย รองประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย ในฐานะประธานคณะทำงานขับเคลื่อนและผลักดันร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคมฯ กล่าวว่า รัฐบาลพูดอยู่ตลอดว่าจะช่วยเหลือผู้ใช้แรงงานให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่ขณะนี้แรงงานกำลังมีปัญหากับความโปร่งใสของกองทุนประกันสังคมทั้งที่กองทุนนี้เป็นกองทุนที่ใหญ่ที่สุด โดยภาคประชาชนเห็นว่า ประชาชนควรที่จะมีส่วนรวมกับกองทุนดังกล่าวได้ รวมไปถึงคณะกรรมการประกันสังคม น่าจะมีการเลือกตั้ง เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนรวม และเพื่อความโปร่งใส เพื่อให้เกิดประโยชน์กับผู้ใช้แรงงานอย่างแท้จริง แต่กลับถูกปฏิเสธจากตัวแทนของที่พวกเราเลือกเข้าไปนั่งอยู่ในสภาฯ เสียเอง ซึ่งตนขอให้ผู้ใช้แรงงานทุกคนปฏิเสธรัฐบาลชุดนี้ เหมือนที่เขาปฏิเสธพวกเรา รัฐบาลไม่เคยฟังเสียงของผู้ใช้แรงงาน เอาแต่ใช้เสียงส่วนใหญ่ที่มีอยู่ในสภาฯ รัฐบาลชุดนี้บริหารประเทศแบบเผด็จการ
ทั้งนี้ สาระสำคัญของร่างกฎหมายประชาชนฉบับนี้ซึ่งแตกต่างจาก พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. 2533 ได้แก่ การกำหนดให้ สำนักงานประกันสังคมต้องเป็นองค์กรอิสระ การบริหารงานกองทุนประกันสังคมผ่านรูปแบบการมีคณะกรรมการชุดต่างๆ ต้องเป็นไปด้วยความโปร่งใส มีกระบวนการหรือกลไกการตรวจสอบการบริหารงาน รวมถึงขยายความคุ้มครองให้ครอบคลุมแรงงานทุกกลุ่ม ให้บัตรเดียวรักษาได้ทุกโรงพยาบาล และผู้ประกันตนมีสิทธิรับรู้และเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับกองทุนประกันสังคมทุกเรื่อง และเพิ่มบทลงโทษสำหรับนายจ้างให้มากขึ้นในกรณีที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย