“องอาจ” สอนมวย “นช.แม้ว” เทียบหนี้ประเทศกับหนี้ธุรกิจไม่ได้ เหตุประชาชนต้องแบกภาระ ทั้งเงินต้น 2 ล้านล้าน กับดอกเบี้ยอีก 3 ล้านล้าน ด้าน “ชวนนท์” ตอกสุดมั่ว เปรียบหนี้สาธารณะญี่ปุ่นกับไทย ทั้งนี้ขนาดระบบเศรษฐกิจที่ต่างกัน พร้อมงัดข้อมูลใช้หนี้ “ไอเอ็มเอฟ” ตบหน้าเป็นพวกจอมโกหก เหน็บพี่น้องตระกูลชิน ดีแต่กู้ เตือนสาวก เลิกเชื่อน้ำลาย “ทักษิณ”
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ประธาน ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเกี่ยวกับ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท โดยอ้างว่าเป็นการขยายเศรษฐกิจโดยไม่ต้องกลัวหนี้พุ่ง และเปรียบเทียบกับการดำเนินธุรกิจว่า ไม่สามารถนำเรื่องธุรกิจมาเปรียบเทียบกับการกู้เงินของรัฐบาล 2 ล้านล้านบาทได้ เนื่องจากผลของการกู้เงินต่างกันไม่ว่าจะได้กำไรหรือขาดทุน เพราะหากเป็นธุรกิจนักธุรกิจจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง แตกต่างจากเงินของแผ่นดินที่ประชาชนและประเทศชาติจะต้องแบกรับภาระทั้งต้น 2 ล้านล้าน และดอกเบี้ย 3 ล้านล้านบาท มีหนี้ยาวนานถึง 50 ปี
“ถ้าเกิดความผิดพลาดล้มเหลวขึ้นมาคนที่รับกรรมคือประชาชนคนไทยทั้งประเทศ แตกต่างจากนายทุนกู้เงินมาลงทุนมีผลกรรมอะไรเกิดขึ้น คนรับกรรมคือนายทุนที่ไปกู้เงินมาลงทุน”
ด้านนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิป้ตย์ กล่าวตอบโต้ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่พยายามเปรียบเทียบไทยกับญี่ปุ่นว่า ญี่ปุ่นสามารถมีหนี้สาธารณะได้ 200% โดยไม่มีปัญหานั้น เป็นการพูดความจริงไม่หมด เพราะญี่ปุ่นมีฐานภาษีที่ใหญ่และมีการลงทุนมากในต่างประเทศ จึงมีเงินเพียงพอที่จะทำให้มีการปล่อยกู้ประเทศญี่ปุ่น
อีกทั้งเงินออมของญี่ปุ่นอยู่ในระดับสูงเพราะวินัยการเงินของประชาชน ทำให้เศรษฐกิจยังเดินหน้าได้ แต่ที่ผ่านมาก็เกิดภาวะเศรษฐกิจซบเซายาวนานต่อเนื่อง และขณะนี้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นก็อยู่ในภาวะเสี่ยง เมื่อเทียบกับไทยที่ไม่มีการส่งออกนวัตกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูงๆ เป็นเหตุให้ต้องระมัดระวังการใช้จ่าย ขอร้องให้เลิกหลอกประชาชนทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าการก่อหนี้เป็นดี เป็นเรื่องปกติ เพราะการก่อหนี้ต้องควบคู่กับวินัยการเงินการคลังและการลงทุนที่คุ้มค่า ที่สำคัญคือญี่ปุ่นไม่มีการทุจริตคอร์รัปชัน ไม่มีการชักหัวคิว 30-40% ไม่มีการตั้งบริษัทในเกาะบริติชเวอร์จิน หรือเกาะเคย์แมน ไม่มีนักการเมืองที่รู้ล่วงหน้าถึงการลอยตัวค่าเงิน จึงทำให้ประเทศญี่ปุ่นเดินหน้าได้
นายชวนนท์กล่าวว่า ตัวเลขการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี สูงกว่ารัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ที่การลงทุนภาครัฐตกต่ำลง เนื่องจากเอาเงินภาษีประชาชนไปละลายกับโครงการประชานยมหรือประชาล่มจม ตนจึงขอท้าให้กลับไปดูตัวเลขการลงทุนเปรียบเทียบกับรัฐบาลชวนและรัฐบาลอภิสิทธิ์ เพราะ 5 ปีของ พ.ต.ท.ทักษิณมีแต่โครงการประชาล่มจมทั้งสิ้น และขอถาม พ.ต.ท.ทักษิณว่า ทำไมต้องกู้ ทำไมต้องเป็นหนี้ทั้งที่ไม่จำเป็น ทำไมไม่กำหนดโครงการพัฒนาให้ชัดเจน เหมือนต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงในภายหลังโดยอำนาจ ครม. ทำไมถึงไม่ระบุให้ชัดว่าจะใช้ระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง ระเบียบพัสดุ จะมีการใช้วิธีพิเศษใช่หรือไม่ ทำไมต้องเปิดช่องให้มีการทุจริต ทำไมต้องสร้างภาระให้ลูกหลาน ขอให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบตนผ่านเฟซบุ๊คด้วย
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ยังตอบโต้ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่อ้างว่าเป็นผู้ปลดหนี้ไอเอ็มเอฟก่อนกำหนด โดยย้อนประวัติศาสตร์การกู้เงินไอเอ็มเอฟในยุครัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นรองนายกรัฐมนตรี มีการขอกู้ไอเอ็มเอฟ 17,200 ล้านดอลลาร์ และมีผู้มีอำนาจในขณะนั้นรู้ข้อมูลการลอยตัวค่าเงินบาทล่วงหน้า และบริษัทโทรคมนาคมไม่ได้รับผลกระทบจากการลอยตัวค่าเงินบาท เอาความลับราชการไปหากินเป็นประโยชน์กับบริษัทตัวเอง หลังจากนั้น รัฐบาลนายชวน เข้ามาบริหารประเทศ รับภาระจากการกู้เงินของรัฐบาลชวลิต แต่สามปีของการบริหารประเทศได้หยุดการกู้เงินก่อนกำหนด โดยกู้จริงแค่ 13,400 ล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ รัฐบาลนายชวนยังใช้หนี้ไอเอ็มเอฟจนเหลือเพียง 4,800 ล้านเหรียญ คือใช้หนี้ไอเอ็มเอฟไป 8,600 ล้านเหรียญ รัฐบาลชวน กู้น้อยใช้หนี้เยอะ แต่เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามาบริหารประเทศในปี 2546 มีการกู้เงินมาใช้หนี้ไอเอ็มเอฟ ทำให้เสี่ยค่าปรับ 2 % เป็นเงินเกือบสี่พันล้านบาท เพียงเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณอยากได้หน้าแต่ผลักภาระให้ประชาชนต้องเสียดอกเบี้ยมหาศาล น้องสาวกู้เงิน 2 ล้านล้าน
“ดังนั้นคนที่ดีแต่กู้คือพี่น้องตระกูลชิน จึงอยากให้ประชาชนเลิกมัวเมากับคำโม้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้แล้ว เพราะเป็นการพูดเท็จ หรือพูดความจริงครึ่งเดียว จะไปหวังเชื่อกับคนที่ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้อย่างไรว่าจะทำเพื่อประโยชน์ของประเทศ”