ผ่าประเด็นร้อน
นาทีนี้คงรับรู้กันอยู่แล้วว่าร่างพระราชบัญญัติที่เรียกง่ายๆ ว่ากฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่นำโดย นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คงจะผ่านสภาได้ไม่ยาก และแม้ว่าจะมีความพยายามขัดขวางจากหลายฝ่ายแค่ไหนก็ตาม แต่เชื่อว่าในที่สุดแล้วก็คงเอาไม่อยู่ อย่างมากทำได้แค่ยื้อเวลาให้นานที่สุดเท่านั้น
ดังนั้น สิ่งที่ต้องพิจารณากันต่อไปก็คือ ปัญหาที่จะเกิดขึี้นตามมาหลังจากที่รัฐบาลเพื่อไทยนำเงินก้อนใหญ่ก้อนนี้ไปใช่้อย่างไรต่างหาก และจะกลายเป็นภาระของลูกหลาน ภาระของบ้านเมืองในอนาคตอีกนานเท่าใดกันแน่
สำหรับใครก็ตามที่ติดตามความเคลื่อนไหวความพยายามในการกู้เงินนอกงบประมาณ จำนวนมหาศาลดังกล่าวก็ต้องเข้าใจดีว่า การใช้จ่ายทำได้ง่าย แต่การตรวจสอบติดตามทำได้ยาก ไม่ต่างจากการเขียนโครงการขึ้นมา ตั้งงบประมาณเข้าไปก็สามารถเดินหน้าได้ทันที แต่ปัญหาก็คือความรั่วไหล การตรวจอสบทำได้ยาก อีกทั้งแทบทุกโครงการไม่มีรายละเอียด ยังไม่ผ่านผลการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อม
บรรดาผู้เชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐกิจต่างฟันธงตรงกันว่านอกจากจำนวนเงินกู้จำนวนมหาศาลแล้วยังต้องบวกดอกเบี้ยอีกมหาศาลไม่แพ้กัน เมื่อมีการระบุว่าต้องใช้คืนอีก 50 ปี รวมกันไม่น้อยกว่า 5 ล้านล้านบาท คิดดูก็แล้วกันว่าหัวโตกันแค่ไหน
ที่ผ่านมาเรามักได้ยินอยู่เสมอว่าอภิมหาโปรเจกต์ยักษ์ทั้งหลายดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ สร้างให้ไทยให้เป็นศูนย์กลางด้านการขนส่ง เป็นฮับของอาเซียนเพื่อรองรับประชาคมในปี 2558 ทุกอย่างชวนเคลิบเคลิ้ม และที่่ผ่านมาประเทศชาติเสียโอกาสมานานแล้ว ขณะเดียวกันถ้าใครขัดขวางก็จะถูกกล่าวหาว่าเป็นพวก “ขัดขวางความเจริญ” ของชาติไปเสียอีก ว่ากันไปนั่น
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเชื่อว่าไม่มีใครขัดขวางไม่ให้ก่อสร้างโครงการขั้นพื้นฐาน ขัดขวางความเจริญ เพียงแต่ว่าต้องมีวิธีอื่น มีรายละเอียดและมีการตรวจสอบการใช้งบประมาณที่เข้มงวดรัดกุมมากกว่านี้ เพราะเงินทุกบาททุกสตางค์ล้วนเป็นภาระรับผิดชอบของคนไทยทุกคนที่ต้องมาร่วมกันชดใช้กันถึงชั่วลูกชั่วหลาน
มีการยกตัวอย่างโครงการรถไฟความเร็วสูงที่ถือว่าเป็นโครงการหลักและเป็นพระเอกที่รัฐบาลกำลังสร้างเป็นจุดขาย สร้างภาพการพัฒนาในอนาคต แต่เอาเข้าจริงกลับกลายเป็นว่าเป็นขายฝันเฉพาะโครงการตั้งงบประมาณสูงลิบนับล้านล้านบาท แต่ทางยุทธศาสตร์กลับไม่ได้ตอบโจทย์อะไรเลยทั้งในเรื่องของเชื่อมต่อเส้นทางกับประเทศเพื่อนบ้าน ยังเสี่ยงต่อความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจในอนาคต เพราะเมื่อพิจารณาจากแต่ละเส้นทางแล้วมีการ “หมกเม็ด” งบประมาณอีกด้วย เพราะเส้นทางรถไฟความเร็วสูงที่เป็นเส้นยาวมีเพียงเส้น กรุงเทพฯ-เชียงใหม่เท่านั้น ส่วนเส้นทางอื่นไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพฯ-หนองคาย เอาเข้าจริงไปได้แค่ โคราช เท่านั้น ขณะที่สายใต้ไม่ใช่ไปถึงปาดังเบซาร์เชื่อมกับเพื่อนบ้าน แต่ไปได้แค่หัวหิน และหากจะทำตลอดสายตามที่โม้เอาไว้ก็ต้องกู้เพิ่มอีกนับล้านล้านบาท ตัวเลขก็ไม่ใช่มีแค่ 2 ล้านล้านบาทตามตัวเลขในปัจจุบัน ซึ่งยังไม่รวมดอกเบี้ยอีกมหาศาล
นี่เป็นแค่ตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าเป็นการตั้งโครงการและงบประมาณเอาไว้คร่าวๆ โดยไม่มีรายละเอียด ซึ่งที่ผ่านมาความล้มเหลวและปัญหาในการใช้งบประมาณที่ส่อไปในทางทุจริตมีให้เห็นชัดเจนจากโครงการบริหารจัดการน้ำที่ใช้ผ่าน พระราชกำหนดเงินกู้ 3.5 แสนล้านบาท ที่จนบัดนี้เพิ่งจะได้บริษัทมาก่อสร้างโครงการ และส่อพิรุธทั้งในเรื่องการใช้งบประมาณ ความล่าช้าไม่สมกับวัตถุประสงค์ในการออกพระราชกำหนดที่เป็นเรื่องเร่งด่วนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ด้วยความเคลื่อนไหวและพิรุธดังกล่าวทำให้ส่อเจตนาชัดเจนว่าจะมีรายการโกงกันอย่างมโหฬาร เพราะการตรวจสอบทำได้ยาก ขณะเดียวกันก็ย่อมเข้าใจกันอยู่แล้วว่าคนที่อยู่เบื้องหลักอภิมหาโปรเจ็กต์เหล่านี้ล้วนแล้วมาจาก ทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นเจ้าของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย อีกทั้งต้องไม่ลืมว่าหากร่างพระราชบัญญัติเงินกู้ 2 ล้านล้านบาทผ่านแล้วนำไปใช้คนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดจะเป็นครอบครัวไหน ขณะเดียวกัน แน่นอนว่าเมื่อการตรวจสอบหละหลวม เงินจำนวนมหาศาลแบบนี้คิดว่าส่วนแบ่งจะเป็นเท่าไหร่ และถ้าคำพูดที่ว่า "ร้อยชักสามสิบ" เป็นจริง ก็ลองหลับตานึกภาพก็แล้วกัน
ดังนั้น หากพิจรณาจากแนวโน้มก็คงคาดเดาได้ว่าคงจะผ่านไม่ยาก และเมื่อพิจารณาด้วยจำนวนเงินมหาศาล และหาก ทักษิณ ชินวัตร อยู่เบื้องหลังจริงๆ นั่นก็หมายความว่าจะมีกระสุนเต็มกระเป๋า เหมือนกับพยัคฆ์ติดปีก และหลังจากนี้ยังมีคิวเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราตามมาอีกก็ยิ่งสนุกกันใหญ่ ถึงตอนนั้นเขาก็ไม่ต่างจากเทวดา นั่นแหละ !!