ถ้าจะมีใครคนหนึ่ง เพียงคนเดียว ที่ต้องรับผิดชอบต่อความปราชัยของพรรคเพื้อไทย ในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม ที่ผ่านมา คนๆนั้นจะต้องเป็น นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ แกนนำ นปช. ซึ่งเลื่อนชั้นขึ้นเป็นอำมาตย์ ในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
เพราะนายณัฐวุฒิ ไปท้าทายสิ่งศักดิ์สิทธิ ฟ้าดิน พระสยามเทวาธิราช พระแม่ธรณี พระแม่คงคา ฯลฯ ให้พรรคเพื่อไทย ล่มจม พินาศ หากว่า พวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องแม้แต่นิดเดียว ในการเผาบ้านเผาเมือง
ในการปราศรัย หาเสียงนัดสุดท้าย ให้พลตำรวจเอก พงศพัศ พงศ์เจริญ ตัวแทนพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้ง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่สวนลุมพินี เมื่อวันที่ 1 มีนาคม ต่อหน้าฟ้าดินและพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 บนเวที นายณัฐวุฒิกล่าวว่า
พี่น้องที่เคารพครับ ข้อกล่าวหาที่พรรคประชาธิปัตย์ใช้ มันรุนแรงเกินไป และมันเหยียบย่ำ ประเทศไทย เกินกว่าที่จะทน คำก็เผาบ้านเผาเมือง สองคำก็เผาบ้านเผาเมือง เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ฟ้าดิน เป็นพยาน ให้องค์พระสยามเทวาธิราช ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระแม่ธรณี พระแม่คงคา ให้ดวงวิญญาณผู้มีคุณูปการ ต่อ ประเทศไทย ทุกดวง ทุกรุ่น ทุกชนชั้น ได้โปรดรับฟังสิ่งที่ผมพูด เหตุการณ์ที่ไฟลุกไหม้ห้างสรรพสินค้า ไหม้ตึกรามบ้านช่องต่างๆ ในราชประสงค์ แล้วก็มายัดเยียด ว่า เป็นพวกผม เป็นผู้บงการเผาบ้านเผาเมืองนั้น เหตุการณ์ดังกล่าวถ้าพวกผมเกี่ยวข้อง ทั้งเบื้องหน้าทั้งเบื้องหลัง ถ้ารู้เห็นสั่งการ วางแผนเตรียมการ ทั้งเบื้องหน้า ทั้งเบื้องหลัง ทั้งอะไรต่างๆทั้งสิ้น ถ้าเกี่ยว ถ้าเกี่ยวแม้แต่นิดเดียว ขอให้พินาศ ล่มจมไปในวันนี้ พรุ่งนี้ แต่ถ้าผมไม่เกี่ยวข้อง เราทั้งหลายไม่เกี่ยวข้อง ขอให้ มีความเจริญ มั่งคงยั่งยืนตลอดไป แล้วถ้าใครใส่ร้ายป้ายสี เพื่อหวังประโยชน์ทางการเมือง ก็ขอให้พินาศล่มจมตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเช่นเดียวกัน
โดยเริ่มต้น จากการแพ้เลือกตั้ง ผู้ว่า กทม. ของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นสำคัญ
ผลการเลือกตั้งผู้ว่า กทม. วันที่ 3 มีนาคม พรรคประชาธิปัตย์ไม่แพ้ ผู้แพ้คือ พรรคเพือ่ไทย หากยึดตามคำสาบานของนายณัฐวุฒิ สาเหตุที่แพ้ เพราะ พรรคเพือ่ไทยพาคนมาเผาบ้าน เผาเมือง เมืองที่พรรคเพื่อไทยส่ง ผู้สมัครหมายเลข 9 มาชิงตำแหน่งพ่อเมือง
ความจริงก็เป็นเช่นนั้น ไม่ต้องถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ฟ้าดิน พระสยามเทวาธิราชหรอก คนทั่วไปที่ติดตามข้อมูล ข่าวสาร ในช่วงเดือนมีนาคม พฤษภาคม 2553 ต่างรู้เห็นว่า ใคร เป็นผู้จุดไฟเผาบ้านเผาเมือง คะแนนเสียง หนึ่งล้านสองแสนห้าหมื่นหกพันคะแนน ที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ คือ เสียงของคนกรุงเทพฯ ที่ยังไม่ลืมเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง และรู้ด้วยว่า ใครเป็นตัวการ
กลยุทธ์ของพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงโค้งสุดท้าย ที่ใช้ประเด็นเรื่อง เผาบ้านเผาเมือง และอย่าให้ใครมายึดเมืองหลวง ไม่ใช่การจุดความกลัว แต่เป็นการกระตุ้นเตือน ตอกย้ำ สิ่งที่ยังอยู่ในความทรงจำของคนกรุงเทพ คนกว่าล้านที่ฝ่าสายฝนออกจากบ้านไปลงคะแนน มีเจตจำนงมุ่งมั่นตั้งแต่รู้ว่า จะมีการเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ในวันที่ 3 มีนาคม ที่ จะไม่ยอมให้คนที่เผาบ้านเผาเมือง เข้ามาบริหาร กทม. จะไม่ยอมให้ทักษิณ ยึดเมืองหลวงไป ตามที่เขาประกาศไว้ ในการโฟนอิน มาที่ชุมนุมของคนเสื้อแดง ที่จังหวัดอุดรธานี เมื่อวันที่ 27 มกราคม
พรรคเพื่อไทยเองก็รู้ว่า คนกรุงเทพไม่ลืมเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง ดังนั้น แคมเปญหาการหาเสียงครั้งนี้จึง พยายามลบภาพของคนเสื้อแดงออกไปให้หมด ไม่ว่า จะเป็นการออกแบบชุดของผู้สมัคร และทีมงานที่ให้ใส่เสื้อสีขาว ป้ายโฆษณาคัทเอาท์หลังเวที ก็ใช้พื้นสีขาว มีแต่เบอร์ผู้สมัคร หมายเลข 9 เท่านั้น ที่เป็นสีแดง สั่งให้แกนนำ นปช. ยุติความเคลื่อนไหวในการผลักดัน กฎหมายนิรโทษกรรมไว้ก่อน รวมไปถึงการ จำกัด แกนนำ นปช. ที่จะช่วยปราศรัยหาเสียงให้น้อยมคนที่สุด เพื่อหวังจะให้คนกรุงเทพลืมเหตุการณ์ เผาบ้านเผาเมืองให้มากที่สุด
นช. ทักษิณเอง ก็รูดซิปปากชั่วคราว นับตั้งแต่ ประกาศว่า จะยึดเมืองหลวง ในการโฟนอินที่อุดรฯ ก็เงียบหายไป ไม่กล้าให้สัมภาษณ์หรือโฟนอินช่วยหาเสียงให้ พลตำรวจเอก พงศพัศอีกเลย เพราะรู้ว่า ยิ่งพูดมากเท่าไร ก็ยิ่งทำลายคะแนนเสียงของพลตำรวจเอกพงศพัศมากเท่านั้น
การเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ครั้งนี้ พรรคเพือไทยทุ่มสุดตัว ใช้วิธีการทุกรูปแบบ เพื่อจะยึดเมืองหลวงให้ได้ การหาเสียงตามระบบ ดำเนินควบคู่ไปกับการใช้สื่อ เป็นเครื่องมือ การดิสเครดิต พรรคประชาธิปัตย์ โดยใช้ธาริต เพ็งดิษฐ์ เป็นเล่นงาน ม.ร.ว. สุขุมพันธ์ ในกรณี ขยายเวลาจ้าง บีทีเอส เดินรถไฟฟ้าออกไปอีก 30 ปี และเล่นงานนายอภิสิทธิ์ เวชชาขีวะ กับ นายสุเทพ เทิอกสุบรรณ คดีทุจริตสร้างโรงพัก 396 แห่ง แต่ก็ไม่ได้มีผลในทางลบต่อ ปชป. เท่าไรนัก หนำซ้ำ ในเรื่องโรงพัก 396 แห่ง กลับกลายเป็นว่า พลตำรวจเอกพงศพัศ นั่นแหละที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มตัว แทนที่จะเป็นการดิสเครดิต ปชป. กลับเป็น การทำปืนลั่นใส่เท้าตัวเอง
พรรคเพื่อไทย คิดว่า จะใช้ภาพลักษณ์ ของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มาช่วยเรียกคะแนนนิยมให้กับ พลตำรวจเอกพงศพัศ แต่ยิ่งลักษณ์นั้น ขายได้เฉพาะกับคนเสื้อแดงเท่านั้น สำหรับคนกรุงเทพ ภาพของยิ่งลักษณ์ที่หาเสียงคู่กับ พลตำรวจเอกพงศพัศ ทำให้ต้องถามตัวเองว่า มีนายกฯโง่แล้ว ยังจะมีผู้ว่าฯ สอพลออีกหรือ แทนที่จะช่วยสร้างคะแนนนิยม การกระเตงยิงลักษณ์ไปหาเสียงด้วย กลับเป็นการทำลายคะแนนเสียมากกว่า
สัปดาห์สุดท้ายของการหาเสียง ความเคลื่อนไหวของผู้สมัครหมายเลข 9 จากพรรคเพื่อไทย เงียบเชียบผิดปกติ ในขณะที่ พรรคประชาธิปัตย์ เปลี่ยนป้ายหาเสียงชุดใหม่ เน้นผลงานที่ทำมาแล้ว และจะทำต่อไป ควบคู่ไปกับ การปราศรัยหาเสียง เตือนความจำว่า ใครเผาบ้านเผาเมือง พรรคเพื่อไทยมั่นใจในฐานเสียงที่มีอยู่ว่า ไม่น้อยกว่าเดิมแน่ หากผู้ที่ออกมาลงคะแนน ที่ไม่ใช่ฐานเสียงของตน ลงคะแนนเลือกผู้สมัครอิสระ เบอร์ไหนก็ได้ ที่ไม่ใช่เบอร์ 16 พลตำรวจเอกพงศพัศ ชนะแน่
ทันทีที่หมดเวลาหย่อนบัตร ผลเอ็นทรี่โพลล์ และเอ็กซิทโพล ของสำนักต่างๆ เกือบทุกสำนัก ยกเว้นนิดาโพลล์ ให้ผู้สมัครหมายเลข 9 ชนะ หมายเลข 16 หลายช่วงตัว คนเสื้อแดงที่ไปชุมนุมรอฟังผลที่พรรคเพื่อไทย เฮกันลั่นเพราะคิดว่า ชนะแล้ว รายการวิเคราะห์ผลเลือกตั้ง ของ สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ที่มีสรยุทธ สุทัศนะจินดา เป็นพิธีกรหลัก ร่วมกับกิตติ สิงหาปัด และพิษณุ นิลกลัด เริ่มต้นอย่างคึกคึก โชว์ภาพกราฟฟิค แผนที่ กทม. ที่แดงเถือกไปหมด โดยมีสองสุขุม สุขุม นวลสกุล และสุขุม เฉลยทรัพย์ ผู้รับจ้างทำดุสิตโพลล์ เป็นคอมเมนต์เตเตอร์
เมื่อการนับคะแนนเริ่มต้น เสียงเฮที่พรรคเพื่อไทยเริ่มเงียบลงไป คนเสื้อแดงที่ไปรอฟังผล ต่างมองหน้ากันเลิกลัก สรยุทธยิงคำถามคาดคั้นสองสุขุมว่า ทำไมคะแนนที่ออกมา จึงไม่เหมือนกับโพลล์ เวลาผ่านไป ช่วงห่างระหว่างเบอร์ 9กับเบอร์ 16 ยิ่งมากขึ้น สรยุทธ ถามสองสุขุม ครั้งแล้วครั้งเล่าว่า มีโอกาสที่เบอร์ 9 จะพลิกกลับมานำไหม สุขุม นวลสกุลตอบว่ายาก
เสียงเฮ ที่พรรคเพื่อไทยเงียบลงไปแล้ว การนับคะแนนยังไม่ถึงครึ่งทาง สรยุทธก็เก็บฉาก เลิกรายการ ท่ามกลางความงุนงงของผู้ชมทั่วประเทศว่า ทำไมเลิกเร็วจัง
การเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ครั้งนี มีผู้ออกไปใช้สิทธิ 2.7 ล้านคน คิดเป็น 63.98% ถือว่า เป็นอัตราที่สูง ม.ร.ว. สุขุมพันธ์ได้คะแนนมากกว่าครั้งที่แล้ว 3 แสนคะแนน และชนะพลตำรวจเอกพงศพัศ 1.8 แสนคะแนน เป็นคะแนนที่ไม่ได้เกิดจากความชื่นชมในตัว ม.ร.ว. สุขุมพันธ์ และพรรคประชาธิปัตย์ทั้งหมด เป็นคะแนนที่มิได้เกิดจากความกลัวทักษิณ หรือ สงสาร สุขุมพันธ์ แต่ เป็นประชามติของคนกรุงเทพว่า ไม่เอาทักษิณ