“จตุพร” พลิกลิ้น ขึงขันไม่เคยขอถอนคำพูดกล่าวหา “อภิสิทธิ์” สั่งฆ่าประชาชน อ้างศาลเสนอให้ทั้งสองฝ่ายใกล้เกลี่ย ด้าน “มาร์ค” ระบุ “ตู่” เสนอกลางศาลขอถอนคำพูด แต่ทำหัวหมอไม่ยอมบอกสิ่งที่พูดคืออะไร ที่สุดยอมความกันไม่ได้ ต้องเดินหน้าคดีต่อ
วันนี้ (8 มี.ค.) นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงเดินทางมายังศาลอาญา เพื่อขอไกล่เกลี่ยคดีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ยื่นฟ้องหมิ่นประมาท จากการกล่าวหาว่านายอภิสิทธิ์สั่งฆ่าประชาชน โดยกล่าวว่ามีคดีที่นายอภิสิทธิ์ฟ้องตนทั้งสิ้น 4 คดี 6 ประเด็น วินิจฉัยไปแล้ว 3 คดี 4 ประเด็น คดีนี้จะเป็นคดีสุดท้าย ศาลจึงบอกว่าเราต่างเป็นนักการเมืองด้วยกันทั้งคู่ เสนอประเด็นไกล่เกลี่ยให้แต่ละฝ่ายไปนำเสนอกันมา เมื่อศาลเสนอแนวทางเรื่องการไกล่เกลี่ยทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยก็รับฟัง จึงมีการนัดหมายในวันนี้ ซึ่งตนยืนยันต่อศาลว่าถ้าไกล่เกลี่ยไม่ลงตัวจะขอสืบและขอเป็นพยานเพียงแค่ปากเดียวและจะไม่มีพยานบุคคลอื่น คือจะเบิกความในวันนี้จนแล้วเสร็จเพื่อให้ศาลนัดฟังคำตัดสิน ทั้งหมดจึงอยู่ที่การพูดคุยในชั้นศาลถ้าตกลงไม่ได้ศาลก็จะพิจารณาตามปกติ
ผู้สื่อข่าวถามว่า เงื่อนไขที่มีการพูดคุยตั้งแต่การพิจารณาในนัดที่ผ่านมายังยืนยันอยู่หรือไม่ ที่บอกว่าจะถอนคำพูดเหมือนที่ทำในสภา นายจตุพรกล่าวเลี่ยงว่า ศาลได้พยายามหาช่องทางออกเพื่อให้ตนกับนายอภิสิทธิ์ ต่างฝ่ายต่างมีที่ยืน ไม่ใช่ให้ฝ่ายหนึ่งสารภาพหรือยอมจำนนเพราะยังไม่มีการนำสืบ เพียงแต่ศาลให้ฝ่ายตนและนายอภิสิทธิ์ไปคิดว่าจะว่าอย่างไรที่จะหาทางลงตัวกันทั้งสองฝ่าย
เมื่อถามแย้งว่าก่อนที่จะนำมาสู่การพิจารณาไกล่เกลี่ยในวันนี้มีข้อเสนอจากทนายความและนายจตุพรในศาลวันนี้ยังยืนยันหรือไม่ นายจตุพรกล่าวว่า หมายความว่าศาลเป็นคนเสนอให้แต่ละฝ่ายไปเสนอเพื่อให้แต่ละฝ่ายมีที่ยืนเป็นของตัวเอง ไม่ใช่ทำให้ทั้งสองฝ่ายไม่มีที่ยืน พร้อมกับยืนยันว่าเป็นคำแนะนำของศาล ซึ่งตนก็อยู่ในศาลด้วย เพื่อให้มีการประนีประนอมยอมความเพราะเป็นคดีที่ยอมความกันได้ ฝ่ายตนและนายอภิสิทธิ์ไม่ได้ปฏิเสธจึงนำเสนอเป็นตุ๊กตามาเท่านั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า จุดที่จะนำไปสู่การยอมความกันได้ นายจตุพรรับได้แค่ไหนในประเด็นใด นายจตุพรกล่าวว่า เป็นเรื่องที่ตนจะไปพูดในชั้นศาล ต้องเข้าใจว่าจะตั้งสมมติฐานมาอย่างไรตนไม่ทราบแต่นี่เป็นข้อเสนอของศาล คุณจะรู้ดีได้อย่างไร นี่เป็นการชวนทะเลาะเหมือน ร.ต.อ.เฉลิม เพราะตนอยู่ในศาล
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า กำลังจะบอกว่าไม่มีข้อเสนอจากฝ่ายของทนายความนายจตุพรในเรื่องการไกล่เกลี่ยเลยหรือ นายจตุพรกล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า “ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือยังไง ผมบอกว่าศาลเสนอให้ไกล่เกลี่ยทั้งสองฝ่าย ฝ่ายผมและนายอภิสิทธิ์ต่างก็นำเสนอ ถ้าตกลงกันไม่ได้บนพื้นฐานหลักการว่าสองฝ่ายจะมีที่ยืน ไม่ใช่การสารภาพว่ามีการกระทำความผิด ก็พยายามหาทางออกที่สบายใจกันทุกฝ่าย และถ้าไม่มีทางลงก็นำสืบต่อไป ผมก็บอกว่าปกติคดีนี้ต้องใช้พยานหลายคน แต่ผมพร้อมจะใช้พยานปากเดียวเท่านั้น เป็นความกรุณาของศาลไม่ใช่ข้อเสนอของผม ผมเคยไปเสนอขอประนีประนอมกับคุณอภิสิทธิ์หรือ”
ผู้สื่อข่าวจึงบอกว่า ที่เรียนถามเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงอย่าปกปิดในบางส่วน นายจตุพกล่าวสวนอย่างมีอารมณ์ว่าปกปิดอะไร เพราะสื่อมวลชนก็เข้าฟังได้ ผู้สื่อข่าวจึงถามต่อว่า กรณีที่นำมาสู่วันนี้เป็นข้อเสนอของนายจตุพรก่อนหรือไม่ นายจตุพรกล่าวว่า ศาลแนะนำให้แต่ละฝ่ายไปคิดกัน เมื่อผู้สื่อข่าวถามแย้งต่อว่า ก่อนหน้าที่จะนำมาสู่การไกล่เกลี่ย ทนายความของนายจตุพรเป็นคนระบุว่าจำเลยพร้อมที่จะไกล่เกลี่ยและมีการเสนอแนวทางด้วยว่าจะถอนคำพูดเหมือนที่ทำในสภา นายจตุพรกล่าวว่า “คุณสมจิตต์ (สมจิตต์ นวเครือสุนทร ผู้สื่อข่าว) เป็นบุคคลที่น่ารำคาญมาก เพราะข้อเท็จจริงศาลได้แนะให้ไกล่เกลี่ย ต้องเอาทั้งโจทก์และจำเลยมาคุยกัน นี่เป็นหลักของทุกคดี คดีหมิ่นประมาทเป็นคดีที่ยอมความกันได้ และผมแสดงความประสงค์ชัดเจน”
ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่า แล้วข้อเสนของทนายความและนายจตุพรที่เกิดขึ้นในการพิจารณาคดีนัดที่แล้วเกิดจากอะไร นายจตุพอ้างว่า “ไม่ใช่ทนายความเสนอ แต่เป็นเรื่องที่ศาลบอกให้แต่ละฝ่ายไปคิด ข้อไกล่เกลี่ยมาจากศาลไม่ใช่มาจากผม คุณสมจิตต์ควรเอาสมองว่างเปล่าที่ไม่มีอคติมาถามผม ผมอยู่ในศาลคุณจะรู้ดีกว่าผมได้ยังไง”
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังพบศาลว่า ศาลได้เปิดโอกาสให้ตนและนายจตุพรตกลงกัน แต่ไกล่เกลี่ยไม่ได้จึงเริ่มมีการสืบพยาน โดยศาลขอให้คู่ความได้มีโอกาสพูดคุยกันต่อหน้าศาลโดยไม่มีคนอื่น ซึ่งนายจตุพรเสนอขอถอนคำพูดเหมือนที่กล่าวในสภาฯ ว่าขอถอนคำพูดเท่านั้น แต่ไม่บอกว่าสิ่งที่พูดจริงหรือไม่จริง เพียงแต่ให้ถือว่าไม่ได้พูด ตนก็อธิบายว่าที่มาขอพึ่งศาลเพื่อต้องการพิสูจน์ความจริง ซึ่งจำเลยต้องยอมรับว่าสิ่งที่พูดไปนั้นไม่เป็นความจริง จึงจะเป็นจุดที่จะเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ เพราะข้อกล่าวหาร้ายแรงทั้งสองข้อ ทั้งการสั่งฆ่าประชาชน และการแย่งชิงพระราชอำนาจ ซึ่งถือเป็นความเสียหายมาก แต่เมื่อจำเลยไม่ยอมรับจึงต้องมีการสืบพยานกันต่อ ดังนั้น ขั้นตอนจึงเป็นการสืบพยานฝ่ายจำเลยที่นายจตุพรอ้างตัวเป็นพยานปากเดียว เพราะขั้นตอนอื่นเสร็จหมดแล้ว ซึ่งเท่ากับว่าจะไม่มีการไกล่เกลี่ยใดๆ อีก
อดีตนายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า คดีนี้เป็นคดีที่ 4 ที่ตนฟ้องหมิ่นประมาท จึงเป็นคดีสุดท้ายที่ยังสืบไม่เสร็จ ส่วนคดีอื่นๆ บางส่วนตนก็ชนะและบางส่วนศาลก็ยกฟ้อง แต่ไม่มีคดีไหนที่ยืนยันว่าจำเลยพูดความจริง