“อภิสิทธิ์” เตือนลูกพรรคระวังคำพูดช่วงหาเสียง หวั่นถูกขยายผล ขอ กทม.-กกต. สอบย้ายทะเบียนเข้า กทม. ติง “ปู-เหลิม” ระวังเรื่องจ้อก่อการร้ายเล็งเป้าทูตมะกัน เหตุสหรัฐฯ ยังไม่แจ้ง ชี้ ปชช.ตกใจ แนะเน้นจับกุม ย้อน “อดุลย์” อย่าร้อง ดีเอสไอจัดหนัก ปชป.มาแยะ บี้ “พงศพัศ” เปิดปากแจงสร้างโรงพัก อย่าเอาแต่เล่นการเมือง ดักดีเอสไอชุดนี้หนีผิดไม่พ้น ตอก “ธาริต” ทำคดีตรงไปตรงมา อย่าเข้าข้าง รับ สตช.เสียหายต้องแก้ แต่ยันต้องจับคนผิด
วันนี้ (13 ก.พ.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ว่ามีการเน้นย้ำกับ ส.ส.ว่าให้มาช่วยรณรงค์หาเสียงได้แม้ว่าไม่อยู่ใน กทม.ก็ตาม จึงมีการจัดรูปแบบการลงพื้นที่ว่าใครจะช่วยตรงไหน อย่างไร ซึ่งในขณะนี้ ส.ส.ก็มีการจับกลุ่มและเลือกพื้นที่หาเสียงแล้ว บางส่วนก็ใช้วิธีหาทางติดต่อกับเครือข่ายของคนที่รู้จักใน กทม. เป็นการแบ่งหน้าที่กันทำโดยทุกคนร่วมมือกันเต็มที่ ทั้งนี้ยังกำชับให้ระมัดระวังเรื่องการใช้คำพูดในระหว่างการรณรงค์หาเสียงด้วย เพราะถูกหยิบไปขยายผลในทางลบโดยที่ไม่ได้ดูบริบทสภาพแวดล้อมในการพูดจึงให้ทุกคนระมัดระวัง
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวด้วยว่า เริ่มมีการร้องเรียนจากประชาชนเข้ามายังพรรคประชาธิปัตย์ว่ามีการย้ายคนเข้าไปในทะเบียนบ้านหลายพื้นที่มากผิดปกติซึ่งจะได้มีการร้องเรียนหรือตรวจสอบไปยังผู้ที่มีความรับผิดชอบด้วยจึงอยากให้ กทม.และ กกต.ร่วมกันตรวจสอบ ส่วนกรณีที่มีการร้องเรียนว่ามีตำรวจรับใบสั่งให้เลือกผู้สมัครบางพรรคนั้น มีการร้องเรียนมาแต่ก็บอกไปว่าต้องมีหลักฐาน ไม่เช่นนั้นจะถูกมองว่าเป็นการกล่าวหาได้จึงต้องมีความชัดเจนในเรื่องหลักฐาน แต่ยอมรับว่ามีการพูดเรื่องนี้กันมาก
นายอภิสิทธิ์ยังเตือน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ให้ระมัดระวังการให้สัมภาษณ์มากกว่านี้ หลังจากที่บุคคลทั้งสองออกมาระบุว่ามีข่าวเกี่ยวกับการก่อการร้ายสถานทูตสหรัฐอเมริกาที่เชียงใหม่ เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนแต่ฝ่ายไทยกลับเป็นผู้ให้ข่าวนี้ ในขณะที่สหรัฐอเมริกาไม่ได้แจ้งเตือนอะไร จึงเห็นว่าต้องระมัดระวังการให้ข่าวมากกว่านี้เพราะจะส่งผลกระทบให้ประชาชนตระหนกตกใจได้ ถ้ามีความจำเป็นจริงๆ ที่ต้องเตือนให้เกิดความระมัดระวังก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าเป็นเรื่องการข่าวที่หน่วยงานต้องไปดูแลก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง โดยหากมีการเคลื่อนไหวจริงก็ต้องพยายามจับกุมคนที่เข้ามาก่อเหตุ เพราะในปี 2555 ก็มีการจัดอันดับประเทศไทยว่าได้รับผลกระทบเกี่ยวกับการก่อการร้ายติดอันดับที่ 8 ของโลกแล้ว
นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.ออกมาตำหนินายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ที่เตรียมเรียกไปให้ปากคำกรณีการก่อสร้างโรงพัก 396 แห่งทั่วประเทศไม่เสร็จว่า นายธาริตคงต้องยืนยันว่าทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน เพราะที่ปฏิบัติกับ ผบ.ตร.น้อยกว่าที่ปฏิบัติกับพวกตนเยอะ แต่พวกตนก็พยายามให้ความร่วมมือยังถูกต่อว่า ที่สำคัญคือเนื้อหาสาระซึ่งตนก็ไม่เข้าใจว่าในเมื่อ พล.ต.อ.พงศพัศทราบอยู่แก่ใจว่าตัวเองเป็นคนเสนอให้มีการอนุมัติจ้างบริษัทนี้ และถ้าเห็นว่าสิ่งที่ตัวเองทำไปเป็นเรื่องสุจริต ทำไม พล.ต.อ.พงศพัศจึงไม่ออกมาพูดให้ชัดเจนจะได้หยุดเล่นการเมืองกับพวกตน เพราะเรื่องนี้เปิดประเด็นกันขึ้นมาเพื่อเล่นการเมืองกับพวกตน แต่พอมี พล.ต.อ.พงศพัศเข้ามาเกี่ยวข้องก็ทำท่าเหมือนว่าจะหยุดกันไปทำนองนั้น แต่ความจริงต้องเป็นความจริง ผิดก็คือผิด ถูกก็คือถูก ไม่ใช่ว่าเข้าตัวเองแล้วจะมีปฏิกิริยาอีกทางหนึ่งเพราะจะทำให้ดีเอสไอมีปัญหาในความน่าเชื่อถือ เนื่องจากยืนยันมาตลอดว่าเป็นความผิด หากผิดจริงคนที่เสนอเรื่องนี้คือ พล.ต.อ.พงศพัศ ก็ต้องถูกปฏิบัติแบบเดียวกับพวกตน แต่ถ้าไม่ผิดเพราะ พล.ต.อ.พงศพัศเข้าไปเกี่ยวข้อง ต่อไปดีเอสไอจะไม่มีความน่าเชื่อถือ
อย่างไรก็ตาม ตนไม่อยากให้มองว่าเป็นปัญหาของดีเอสไอทั้งหน่วยงาน เพราะเป็นเจ้าหน้าที่แค่บางชุด ซึ่งตนก็บอกแล้วว่าสุดท้ายไม่มีอะไรที่จะคุ้มครองพวกเขาได้ ถ้าไม่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเที่ยงตรง โดยในส่วนของนายธาริตที่รีบออกมาขอโทษ ผบ.ตร.หลังจากโดนตำหนิให้คำนึงถึงมารยาทในการสอบสวนนั้น ตนอยากให้นายธาริตให้เกียรติคนอื่นเหมือนตอนนี้ที่พยายามจะให้เกียรติ ผบ.ตร. และหากอยากให้การดำเนินคดีเป็นไปอย่างโปร่งใสก็ต้องไล่ตั้งแต่ต้น คือดูว่าปัญหาที่สร้างไม่เสร็จเกิดจากอะไร เกิดจากการไม่ปฏิบัติตามสัญญา การทิ้งงาน หรือทำผิดสัญญา ถ้าเป็นตรงนั้นก็ต้องดูว่าใครบริหารสัญญา มีการทุจริต มีความผิดพลาดหรือไม่ แต่ถ้าบอกว่าสัญญาผิดตั้งแต่ต้นก็ต้องย้อนกลับไปว่าใครเป็นคนเสนอ ซึ่งตนก็เห็นด้วยกับ ผบ.ตร.ว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติอยู่ในสถานะผู้เสียหายก็ต้องเร่งแก้ไขปัญหา แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีใครรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น เพราะหน่วยงานก็ต้องมีความรับผิดชอบด้วย