ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ประชันวิสัยทัศน์ตลาดทุน “โฆสิต” เผย กทม.ควรเป็นมหานคร 24 ชั่วโมง วางเป็นเมืองธุรกิจ “พงศพัศ” ชี้เริ่มต้นจากชุมชน เน้นเรื่องความปลอดภัย-ปราบยาเสพติด “สุขุมพันธุ์” เผยวิสัยทัศน์ กทม.ต้องตั้งอยู่บนความจริง ชี้มีศักยภาพอยู่แล้ว แต่ต้องดึงมาใช้ประโยชน์สูงสุด “เสรีพิศุทธ์” หวังทำให้ กทม.เป็นมหานครท่องเที่ยว-เศรษฐกิจ-เกษตร “สุหฤท” เผย กทม.ควรมีเสน่ห์เฉพาะตัว
วันนี้ (11 ก.พ.) ที่หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย ชั้น 3 อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถนนรัชดาภิเษก เขตคลองเตย สภาธุรกิจตลาดทุนไทย ได้จัดงานแสดงวิสัยทัศน์ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในหัวข้อ “วิสัยทัศน์กรุงเทพฯ มหานครแห่งตลาดทุน” โดยมีผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ประกอบด้วย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์, พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย, พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ผู้สมัครอิสระ, นายสุหฤท สยามวาลา ผู้สมัครอิสระ และนายโฆสิต สุวินิจจิต ผู้สมัครอิสระ โดยมีประชาชนทั่วไป นักธุรกิจ และสื่อมวลชนเข้าร่วมรับฟังจำนวนมาก
นายโฆสิต กล่าวว่า กทม.ควรจะเป็นมหานคร 24 ชม. ต่อไปนี้ กทม.จะเปิดบริการ 24 ชม. ต้องเดินทางได้สะดวก มีศูนย์การเรียนรู้ และมีความปลอดภัย เมื่อเราเป็นเมือง 24 ชม.ได้ เราก็จะติดต่อกับต่างประเทศทั่วโลกและนำหน้าประเทศอื่นได้ และอยากให้เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรม เพราะเรามีความหลากหลายทางวัฒนธรรมด้วย เราไม่แพ้ชาติใดในเอเชียในเรื่องของความบันเทิง ยุทธศาสตร์ที่ตนวางไว้คือเป็นเมืองแห่งธุรกิจ กทม.ดีทุกอย่าง ขออย่างเดียวอย่าเอาการเมืองมายุ่ง สิ่งที่ต้องสนับสนุน คือการส่งเสริมนักธุรกิจให้เกิดศูนย์กลางการค้าและส่งเสริมทุกอย่าง ให้ทำเกี่ยวกับการค้าและอาจจะยกเลิกภาษีโรงเรือน ทำยังไงจะให้คนรุ่นใหม่เป็นนักธุรกิจและบ่มเพาะคนรุ่นใหม่เป็นนักธุรกิจ อีกเรื่องคือวัฒนธรรม เพราะโดยภูมิศาสตร์เราได้เปรียบอยู่แล้ว ตรงนี้ก็จะต้องเกิดศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน สามารถเรียนรู้ภาษาต่างๆ ได้ฟรีเพื่อเพิ่มศักยภาพได้ เราต้องพัฒนาทั้งเศรษฐกิจและสังคมไปอย่างควบคู่กัน
ด้าน พล.ต.อ.พงศพัศ กล่าวว่า ตนเองได้อาสามาคืนความสุข คืนรอยยิ้ม เพราะเรามีปัญหามากมายทุกคนยังมีความทุกข์และความกังวลใจ ผมอยากจะวัดดัชนีความสุขของคน กทม. ปัญหาพื้นฐานเป็นเรื่องของปัญหาชุมชนต่อเนื่องมายังคนในออฟฟิศ ในการหาเสียงชี้แจงนโยบายจึงเริ่มจากความสุขพื้นฐานเรื่องความปลอดภัยจากชุมชน เรื่องปากท้อง เรื่องจราจร เรื่องของทัศนียภาพ ทุกคนมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน ตนจึงจะทำระบบแมปปิ้งดูว่าจะสามารถบริหารจัดการอย่างไรบ้าง กระบวนการต่างๆ นี้ต้องทำในอำนาจหน้าที่ แต่อะไรก็ตามถ้าเกินอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าฯ กทม.ก็ต้องประสานงานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอความร่วมมือในการทำ บริหารจัดการสนองต่อความสุขของพี่น้องประชาชนได้อย่างเพียงพอ
ทั้งนี้ ตนได้บอกยุทธศาสตร์กับประชาชนไว้ว่าจะทำงานกับรัฐบาลอย่างไร้รอยต่อ จะคืนความสุขให้กับชุมชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับล่าง ตนอยากให้ทุกคนมีรอยยิ้มเท่าๆ กัน มีความสุขอย่างเท่าเทียม เราเริ่มที่ชุมชน 2,038 ชุมชน ปัญหาพื้นฐานคือเรื่องยาเสพติด ในขณะนี้มีการแพร่ระบาด 1 พันกว่าชุมชนที่ต้องเข้าไปจัดการ เราจะลดการแพร่ระบาดของยาเสพติดร้อยละ 30 เราจะร่วมกับ สตช.ดำเนินการกับผู้ค้ารายย่อยไม่ให้กระจายยาเสพติดได้ หากเสพติดแล้วเราจะนำไปบำบัด โดยจะขอความร่วมมือจากสาธารณสุข และเฝ้าระวังไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวอีก และการป้องกันจุดเสี่ยงอาชญากรรมในเรื่องการติดตั้งกล้องซีซีทีวี โดยไม่จำกัดจำนวน เพราะเอาความปลอดภัยของประชาชนมาเสี่ยงไม่ได้ และนำไปร่วมกับศูนย์เฝ้าระวัง อีกทั้งเรื่องของอัคคีภัยก็จะเอามาเชื่อมสัญญาณของศูนย์เฝ้าระวังของ กทม.ด้วย
ขณะที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวว่า ตนอยากให้ กทม.เป็นมหานครที่มีโอกาสมากกว่าเดิม วิสัยทัศน์ต้องตั้งอยู่บนความเป็นจริง กทม.มีศักยภาพทางเศรษฐกิจมหาศาล อีกอย่างหนึ่งคือ กทม.มีความเชื่อมโยงในที่ตั้งทางภูมิภาค และเรื่องการท่องเที่ยวที่โตอย่างต่อเนื่อง รายได้จากการท่องเที่ยวก็ยังเพิ่มขึ้นชัดเจน เราก็ได้รางวัลเป็นเมืองที่น่าท่องเที่ยวมากที่สุดในโลก และเรื่องการแพทย์ที่มีความก้าวหน้า นี่คือสิ่งที่อยากบอกให้ทราบว่าต้องยึดโยงสู่ความเป็นจริงว่าเรามีศักยภาพอยู่แล้ว แต่ต้องดึงมาใช้ประโยชน์ได้สูงสุด ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเราก็ทำตามอำนาจหน้าที่ของตนและใช้จุดแข็งมาเสริมกันและกัน จุดแข็งของเราคือเรื่องกล้องวงจรปิดในการร่วมมือเกี่ยวกับอาชญากรรม ตนเห็นด้วยเรื่องการสนับสนุนงบประมานของรัฐบาลนั้นมีความสำคัญ แต่จริงๆ แล้วเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะสนับสนุนการทำงานของ กทม. เพราะกทม.เป็นเมืองหลวง อีกทั้งมีการเสียภาษีมากที่สุด ซึ่งมีสิทธิ์ที่จะได้รับงบประมานอยู่แล้ว
ทั้งนี้ ตนมีความมั่นใจว่าใครจะเป็นผู้ว่าฯ กทม.รัฐก็ต้องสนับสนุน แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือขอให้ถ่ายโอนอำนาจให้ กทม.ตอนนี้ยังไม่ได้ถ่ายโอนแต่อย่างใด กทม.มีศักยภาพมหาศาลที่จะทำแต่ทุกรัฐบาลยังไม่ยอมโอนอำนาจมาให้ เพราะขณะนี้เราต้องอาศัยรัฐบาลกลางตลอดเวลา การทำงานของรัฐบาลนั้นสำคัญ ส่วนในเรื่องการเป็นศูนย์กลางการลงทุนตนก็เคยได้ทำไปแล้วที่ป้องกันไม่ให้น้ำท่วมเพราะ กทม.ทำได้และทำไปแล้ว และเรื่องการต้อนรับประชาคมอาเซียนตนก็จะส่งเสริมในเรื่องการใช้ภาษาอังกฤษให้แก่คนขับรถแท็กซี่ และวินมอเตอร์ไซค์
ด้าน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ กล่าวว่า จะทำให้ กทม. เป็นมหานครแห่งการท่องเที่ยว เศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมการเกษตร โดยจะเน้นนโยบายที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มรายได้ นอกเหนือจากการเป็นฐานผลิตอุตสาหกรรมที่ต่างชาตินิยมมาลงทุนในภูมิภาคนี้ พร้อมกับให้มีสถาบันการเงินที่เข้มแข็ง มีแรงงานพร้อมที่จะทำให้การขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจให้ กทม. เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ
ส่วนนายสุหฤท กล่าวว่า ตนมองกรุงเทพฯ เป็น 3 ระยะ ระยะแรกคือปัจจุบัน ทุกคนคงฝันว่าจะเดินทางเท้าอย่างปลอดภัย ความฝันตนมีอยู่อย่างมากมาย วันนี้เรายังอยู่ภายใต้อะไรบางอย่างที่ดึงเราออกจากชีวิตตามความฝัน มันเป็นความจริงได้ไม่ยาก ถ้าได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ภาคธุรกิจของ กทม.เป็นภาคที่มีความมหัศจรรย์ เหมือนภาคเอกชนของเรามีความเข้มแข็ง สิ่งที่เป็นอยู่สามารถพัฒนาได้อย่างยั่งยืน การที่เมืองกรุงเทพฯ เราจะเป็นอิสระนั้น เรารอมานานจนเราอยู่เหมือนเดิมมาเป็นเวลานานมากแล้ว เราต้องการอาสาสมัครอีกมาก เราอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น มีคนที่ไม่มาเลือกตั้งเพราะเขาคิดกันว่าออกมาเลือกแล้วก็เหมือนเดิม ตนก็ใช้วิธีการเดินออกไปเพื่อให้เห็นโลกความแตกต่างของ กทม. ตนเริ่มจากมองว่า กทม.ไม่จำเป็นต้องมากระจุกที่ใดที่หนึ่ง กทม.ในแต่ละเขตควรมีเสน่ห์ของเขาเอง เช่น ตลาดนัดรถไฟ เอเชียทีค ตลาดนัดจตุจักร ทาวน์อินทาวน์ เป็นต้น
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวเสริมว่า ประเทศไทยสามารถเป็นจุดศูนย์กลางของอาเซียนได้ เรามีจุดแข็งในเรื่องนี้ยังได้ยอมรับว่ากทม.เป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับหนึ่ง อีกทั้งยังมีสนามบินที่ใหญ่สามารถรองรับการเดินทางได้ ระบบธนาคารของเราก็มีความเข็มแข็งมีความเชื่อมั่นในสถาบัน และแรงงานของเราก็มีอย่างเพียงพอเพื่อให้ต่างชาติมาลงทุน กทม.ต้องเป็นเมืองสีเขียวและปราศจากผู้มีอิทธิพล.