นายกฯ เปิดงานพลังสตรีขับเคลื่อนประเทศไทย ชูสตรีมีอิทธิพลต่อโลกมากขึ้น แต่ไทยโอกาสยังน้อย พร้อมช่วยให้มีบทบาท-รอถก ศปก.กปต.ปัญหาชายแดนใต้ ชี้ “เป็ดเหลิม” ยังดูแล เคอร์ฟิวไม่ชัวร์ ย้ำ จนท.เต็มที่ไปก่อน ไม่บุ่มบ่ามประกาศ หวั่นกระทบชาวบ้าน ไม่ตอบใช้แผนโซนนิ่ง-แจง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ยังไม่ถึงมือ
วันนี้ (11 ก.พ.) ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานเปิด งาน “พลังสตรีขับเคลื่อนประเทศไทย” ซึ่งจัดโดยสำนักงานกิจการสตรี และสถาบันครอบครัว กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยมีนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.พม. นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย น.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และผู้นำองค์กรส่วนท้องถิ่นที่เป็นสตรีจากทั่วประเทศเข้าร่วมงานกว่า 500 คนเข้าร่วมงาน
โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ตนรู้สึกยินดีที่ได้มายืนต่อหน้าสตรีที่มีบทบาทในการเป็นผู้นำประชาชนวันนี้ ซึ่งถือว่าบทบาทของสตรีในการเป็นผู้นำชุมชนมีมากขึ้น อยากจะให้มีมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ทั้งนี้ แนวโน้มในสังคมโลกสตรีก็มีบทบาทมากขึ้น โดยจะเห็นได้จากผู้นำของประเทศต่างๆ ที่เป็นสตรีที่มีจำนวนมากขึ้น ทั้งนายกรัฐมนตรีหญิงของประเทศเยอรมนีที่ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้ทรงอิทธิพลอันดับ 2 ของโลก ในซีกโลกตะวันออกก็มีนายกรัฐมนตรีของประเทศเกาหลีใต้ ตนเองก็เช่นกันที่ได้รับตำแหน่งที่เป็นที่ไว้วางใจของประชาชน
ทั้งนี้ ประเทศไทยเราก็มีการส่งเสริมบทบาทของสตรีทุกระดับ แต่เมื่อดูจากอัดตราส่วนสตรีที่อยู่ในการเมืองระดับชาติมีร้อยละ 13.8 ส่วนในระดับท้องถิ่นมีไม่ถึงร้อยละ 10 ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรหญิงในประเทศไทยที่ได้รับโอกาสในการศึกษาที่มากขึ้น ตนอยากเห็นผู้หญิงมีบทบาทและมีโอกาสมากขึ้น และอยากขอความร่วมมือจากผู้นำสตรีทุกคนให้สนับสนุน กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีที่มีอยู่ในทุกจังหวัด รวมถึงการให้การช่วยเหลือสตรีที่ขาดสิทธิเสรีภาพในการประสานเครือข่ายในการดูแล ยกระดับคุณภาพชีวิต และอยากเห็นผู้นำสตรีทั้งหลายก้าวเข้ามามีบทบาทในระดับประเทศด้วย
นายกรัฐมนตรียังให้สัมภาษณ์ถึงการเรียกหน่วยงานด้านความมั่นคงประชุมว่า อยากฟังปัญหาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ในส่วนของคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปก.กปต.) ก็ยังทำงานภายใต้การนำของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรง รองนายกรัฐมนตรีเช่นเดิม ซึ่งก็จะมีการเรียกประชุมอยู่แล้ว เมื่อถามว่าในวันนี้จะมีการตัดสินใจประประกาศใช้หรือไม่ใช่เคอร์ฟิวในบางพื้นที่เลยหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวปฏิเสธว่า ยังไม่ตัดสินใจ เพราะทั้งหมดเป็นเรื่องการตัดสินใจของ ศปก.กปต.เหมือนเดิม วันนี้แต่อยากรับฟังรายละเอียดจากเจ้าหน้าที่ หลังจากมีการบูรณาการในเนื้องาน ทั้งเรื่องงบประมาณ การประสานงานว่ามีปัญหาอย่างไรบ้างเผื่อมีอะไรจะได้ช่วยกันสนับสนุน แต่ก็จะใช้วิธีการผ่านกลไกคณะกรรมการเหมือนเดิม
เมื่อถามว่ามีเสียงวิจารณ์ว่าหากประกาศใช้เคอร์ฟิวจริง จะเหมือนกลับถอยหลังไปเริ่มต้นนับ 1 ใหม่ของการแก้ปัญหาไฟใต้หรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า อย่างที่เรียนไปว่าขณะนี้ยังไม่ได้ขอสรุปทั้งหมดอยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมการ แต่พื้นที่ไหนที่เป็นพื้นที่ที่สงบ เราก็ไม่อยากจะประกาศใช้อยู่แล้ว หลีกเลี่ยงอยู่แล้วไม่ต้องห่วง เมื่อถามย่ำว่าหมายความว่าพื้นที่ที่จำเป็นต้องใช้ เช่นพื้นที่สีแดงก็จะประกาศใช้ใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า หากประกาศแล้วคิดว่าจะสามารถควบคุมความสงบได้ ก็ค่อยประกาศเพราะเราก็ไม่อยากให้ประชาชนใช้ชีวิตที่ไม่ปกติ ดังนั้นเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ต้องทำหน้าที่อย่างเต็มที่ก่อน แล้วถึงจะมีมาตรการขั้นต่อไป ซึ่งต้องให้คณะกรรมการทำงานในเนื้อหาก่อน อย่างเช่นเรื่องจำนวนคนหรืออุปกรณ์ต่างๆ ต้องให้ครบก่อน แต่หากทำสุดความสามารถแล้วก็ต้องขอความร่วมมือจากประชาชนเพื่อให้พื้นที่นั้นมีความสงบ ไม่ใช่จู่ๆ แล้วประกาศ
ต่อข้อถามว่าจะมีการฟังเสียงประชาชนในพื้นที่ด้วยหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ต้องฟังด้วยเพราะเราต้องทำงานร่วมกับในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด และทาง ศอ.บต. “ยืนยันค่ะ ไม่มีการประกาศอะไรที่บุ่มบ่าม ไม่มีหรอกค่ะ” น.ส. ยิ่งลักษณ์กล่าว เมื่อถามว่าจะถือว่ารัฐบาลเตรียมกลับไปใช้ระบบโซนนิ่งในพื้นที่ภาคใต้หรือไม่ว่าพื้นที่ไหนควรหรือไม่ควรประกาศใช้ น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ตนต้องขออนุญาตไม่พูดในรายละเอียด แต่เราจะมองเป็นรายพื้นที่เป็นเรื่องสำคัญ การเก็บข้อมูล ติดตาม ประสานงานก็จะใช้หลักของพื้นที่ก่อน ซึ่งการจะกำหนดความสำคัญของพื้นที่แต่ละส่วนนั้นจะเป็นหน้าที่ของฝ่ายความมั่นคงเป็นผู้กำหนด รัฐบาลขอไม่พูดในรายละเอียดว่าพื้นที่ไหนเรียกว่าอะไรเพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน
ขณะที่ความคืบหน้ากรณีที่ส่งร่างกฎหมายนิรโทษกรรมให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พิจารณา น.ส.ยิ่งลักษณ์ระบุว่า ขณะนี้ยังไม่ได้มีการรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมกลับมายังรัฐบาล
