กมธ.สิทธิมนุษยชนฯ วุฒิสภา เชิญ “ราตรี” แจงกรณีพระราชทานอภัยโทษ เจ้าตัวโอด “รัฐบาลอภิสิทธิ์” ไม่ช่วย ต้องสู้โดยลำพัง แถมรับรองคนไทยหาเรื่องเข้าไปเอง เชื่อเหตุได้รับปล่อยตัวเอี่ยวการเมือง กังขาทำไมไม่ปล่อย “วีระ” พร้อมกัน วอน กมธ.เชิญ ตร.โคกสูง-ตชด.-ทหาร กกล.บูรพาที่เจรจาแจงด้วย เผยมีทหารโทรศัพท์ขู่ผ่านเพื่อนห้ามฟ้องรัฐบาลอภิสิทธิ์ ไม่งั้นอันตราย ถูก “นันทเดช” ซ้ำเติมให้ดูว่าจริงไหม กระทั่งถามกลับทั้งน้ำตา “จะให้ถูกทำร้ายก่อนหรืออย่างไร”
คลิกที่นี่ ฟังเสียงแถลงการณ์ "น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์"
วันนี้ (7 ก.พ.) ที่รัฐสภา ในการประชุมกรรมาธิการ (กมธ.) สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ที่มี พล.อ.อ.วีรวิท คงศักดิ์ ส.ว.สรรหา เป็นประธาน กมธ. มีการพิจารณากรณีการพระราชทานอภัยโทษ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ซึ่งถูกจับโดยทหารกัมพูชา ในข้อหาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และโจรกรรมข้อมูล เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2553 ต่อมาถูกศาลประเทศกัมพูชาตัดสินจำคุกในเรือนจำเปรยซอร์ ประเทศกัมพูชา โดย กมธ.เชิญ น.ส.ราตรี, ร.ต.แซมดิน เลิศบุษย์ และนายตามแน่ มุ่งมาจน มาชี้แจงและให้ข้อมูล
ทั้งนี้ กมธ.ได้สอบถามถึงชีวิตความเป็นอยู่ในเรือนจำของ น.ส.ราตรี ว่ามีการละเมิดสิทธิผู้ต้องขังหรือไม่ เพื่อจะนำข้อมูลเหล่านี้หารือกับประเทศกัมพูชาถึงหลักสิทธิมนุษยชน ซึ่ง น.ส.ราตรีชี้แจงว่าความเป็นอยู่ในเรือนจำคงให้สบายเหมือนกับอยู่ที่บ้านคงไม่ได้ แต่ตนผ่านการฝึกใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายมาก่อนจึงปรับตัวได้ แต่สภาพจิตใจไม่ค่อยดี สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ นายวีระที่ไม่ได้รับอนุญาตให้สื่อสารกับใครเลย ไม่อนุญาตให้รับข่าวสาร อ่านหนังสือ เพราะรัฐบาลกัมพูชาเห็นว่านายวีระเป็นนักเคลื่อนไหวตัวจริง และกลัวจะสร้างปัญหา ทั้งยังมีปัญหาเรื่องสุขภาพ
น.ส.ราตรีกล่าวยืนยันว่า พื้นที่บ้านหนองจาน กิ่ง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว เป็นดินแดนของไทย เพราะเป็นไปไม่ได้ที่พื้นที่ดังกล่าวจะเป็นพื้นที่ของกัมพูชา เนื่องจากมีการออกเอกสารสิทธิในที่ดินทำกินให้กับคนไทย มีโฉนดชัดเจน อยากฝากให้ กมธ.ช่วยตรวจสอบข้อมูลว่าพื้นที่พิพาทดังกล่าวตามแนวเส้นแบ่งเขตหลักเขตที่ 46-47 เป็นของไทยหรือกัมพูชากันแน่
“รัฐบาลที่ผ่านมาไม่ช่วย และปล่อยให้สู้โดยลำพัง ทั้งยังรับรองให้ทางการกัมพูชาในการบอกว่าคนไทยหาเรื่องเข้าไปในพื้นที่เอง” น.ส.ราตรีกล่าว
น.ส.ราตรีกล่าวต่อว่า การพระราชทานอภัยโทษให้ตนคงเป็นเหตุผลทางการเมือง แต่เรื่องการต่อรองไม่ทราบ เขาบอกจะปล่อยก็ปล่อย แต่น่าจะมีสาเหตุจากการสานสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับรัฐบาลกัมพูชา อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่มีการอภัยโทษ ตนและนายวีระได้เตรียมการเรื่องโอนย้ายกลับประเทศไทยไว้แล้ว ซึ่งทางประเทศไทยก็รับทราบที่จะประสานกับทางการกัมพูชา เพราะถูกคุมขังเป็นเวลา 2 ปีแล้ว สามารถใช้สิทธิโอนย้ายได้ นายวีระก็เช่นกัน ที่สำคัญหากรัฐบาลมีความจริงใจที่จะช่วยเหลือนายวีระก็ควรดำเนินการอย่างเร่งรีบ ซึ่งนายวีระมีความต้องการให้มีการโอนย้ายตัวมาโทษที่ประเทศไทยมากกว่าการพระราชทานอภัยโทษ
“เรื่องนี้เป็นเรื่องทางการเมืองอยู่แล้ว กรณีดิฉันอาจเป็นอุบัติเหตุที่ติดเข้าไปด้วยแล้วมาปล่อยทีหลัง ทั้งที่รัฐบาลชุดปัจจุบันมีความสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐบาลกัมพูชา เหตุใดคุณวีระจึงไม่ได้ถูกปล่อยตัวมาพร้อมกัน ถ้ากัมพูชาต้องการปกป้องอาณาเขตตัวเอง ไม่มีนัยแอบแฝงก็ควรให้สิทธิคุณวีระในการโอนย้ายกลับมาที่ประเทศไทย” น.ส.ราตรีกล่าว
น.ส.ราตรีกล่าวว่า ภายหลังจากที่ตนและคณะถูกจับมีเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) เข้ามาช่วยเจรจากับเจ้าหน้าที่ทางกัมพูชา ซึ่งครั้งแรกได้รับการยืนยันปล่อยตัว จากนั้นตนและคณะจึงยื่นความต้องการขอเข้าไปดูหลักเขตที่ 46 ซึ่งเจ้าหน้าที่ไทยไปเจรจา และเดินกลับออกมาระบุว่าหมดหน้าที่ของทหารแล้ว ต่อไปเป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ จากนั้นตนและคณะก็ถูกควบคุมตัวไปยังกรุงพนมเปญ ซึ่งตามหลักการหากถูกจับในพื้นที่ใดก็ต้องนำตัวขึ้นศาลนั้น ผิดกับครั้งนี้ที่ถูกนำตัวไปขึ้นศาลที่กรุงพนมเปญ ดังนั้น ตนจึงอยากให้ทาง กมธ.ช่วยเชิญตำรวจ ทหารที่ช่วยเจรจาในวันดังกล่าวมาชี้แจงด้วย โดยตนจำได้ว่ามีผู้กำกับการ สภ.โคกสูง ยศ พ.ต.อ. ตำรวจตระเวนชายแดนยศ พ.ต.ท. และทหารจากกองกำลังบูรพา 2 นาย
นอกจากนี้ น.ส.ราตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า ภายหลังจากที่ตนและคณะถูกควบคุมตัว ก็ได้ประกันตัวออกมาพำนักอยู่ที่สถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ ก็ได้มีนายการุณ ใสงาม คณะทำงานที่ปรึกษากฎหมาย และ ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ ทีมที่ปรึกษากฎหมายเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ ติดต่อเข้ามาเพื่อให้ตนและคณะได้ลงนามในหนังสือขอให้มีการพิจารณาคดีให้เร็วขึ้น และจะนำหนังสือฉบับเดียวกันให้นายวีระได้ลงนามด้วย แต่ท้ายที่สุดนายวีระไม่ยอมลงนาม โดยให้เหตุผลว่าเป็นหนังสือยินยอมรับความผิด ตรงจุดนี้จึงอยากทราบว่าเหตุผลที่แท้จริงคืออะไร และนายวีระเข้าใจว่าเป็นหนังสือยินยอมรับความผิดได้อย่างไร
ด้านนายตายแน่ กล่าวว่า ครั้งเมื่อตนถูกคุมขัง นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ในสมัยนั้นดำรงตำแหน่งเป็นโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้หยิบยังแผนที่หลักเขตที่ 46-47 ซึ่งมีความคลาดเคลื่อนกันแผนที่ที่คณะของตนศึกษา โดยพบว่า แผนที่ของนายศิริโชคระบุว่าตนและคณะได้รุกล้ำเขตกัมพูชา แต่สำหรับแผนที่ของตนนั้น ถือว่ายังไม่รุกล้ำ โดยตนได้ยึดเกณฑ์จากการตั้งศูนย์อพยพของยูเอ็นเอชซีอาร์ที่บ้านหนองจาน ซึ่งมีหลักว่าการขุดสระน้ำต้องตั้งอยู่ในประเทศที่ไม่มีสงครามหรือประเทศที่มีความสันติภาพ นั่นหมายความว่าสระน้ำต้องตั้งอยู่ในพื้นที่ของประเทศไทย แต่ในแผนที่ของนายศิริโชคระบุว่าสระน้ำดังกล่าวอยู่ในเขตพื้นที่ของประเทศกัมพูชา
อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายของการประชุม น.ส.ราตรีระบุว่า เพื่อนในกลุ่มของตนได้รับโทรศัพท์จากทหารนายหนึ่งโทรศัพท์มาเตือนว่า หากตนคิดจะฟ้องร้องรัฐบาลเพื่อเรียกค่าเสียหายฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ อาจจะได้ไม่คุ้มเสียและได้รับอันตราย ด้าน พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ประจำ กมธ.กล่าวว่า ประเด็นที่ น.ส.ราตรีถูกข่มขู่ทางโทรศัพท์ผ่านเพื่อน ให้พิจารณาความจริงให้ชัดเจน เพราะเป็นเรื่องที่กระทบต่อหลายฝ่าย ก่อนไปแจ้งความไว้ ซึ่งทันทีที่ พล.ท.นันทเดชพูดจบ น.ส.ราตรีกล่าวโต้ตอบด้วยเสียงสั่นเครือและน้ำตาคลอว่า หรือจะรอให้ตนถูกลอบทำร้ายก่อนหรืออย่างไร หรือต้องรอให้ยิงพลาดก่อนใช่หรือไม่ จึงจะเชื่อว่ามีมูลความจริง จากนั้น พล.อ.อ.วีรวิท ในฐานะประธาน กมธ.ก็ได้รับปากที่จะดูแลเรื่องดังกล่าวให้