โฆษกประชาธิปัตย์ จี้รัฐดูแลสวัสดิการครูชายแดนใต้ จริงใจแก้ปัญหา สับใช้การตลาดนำการเมือง จ้อคนละทิศทาง แนะนายกฯ ทบทวนควรให้ใครดูแล จวก “อำมาตย์เต้น” ปฏิเสธค่าแรง 300 กระทบโรงงานปิดแค่เอาตัวรอด แนะเปลี่ยนตัว รมต. “องอาจ” ฉะดีเอสไอแจ้งข้อกล่าวหาคดีบริจาคเงินให้พรรคศุกร์นี้ไม่เหมาะสม ชี้ส่อใช้อำนาจไม่ถูกต้อง เผยประสานขอเลื่อนแล้ว
วันนี้ (16 ม.ค.) ที่พรรประชาธิปัตย์ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้รัฐบาลดูแลสวัสดิการของครู ความเป็นอยู่ และความปลอดภัย โดยเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดและ 4 อำเภอของ จ.สงขลาในภาคใต้ อยากให้รัฐบาลมีความจริงใจในการแก้ปัญหาและดำเนินการตามข้อเรียกร้องของครูที่ยื่นต่อรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มเงินเยียวยาเป็น 4 ล้านบาท รวมถึงการปรับเบี้ยเสี่ยงภัยให้สูงขึ้น ซึ่งนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ เคยลงพื้นที่หลายครั้งและรับปากว่าจะนำข้อเสนอไปปรับใช้หรือตอบสนองข้อเสนอของสมาพันธ์ครู 3 จังหวัดภาคใต้ แต่ยังไม่มีมาตรการเป็นรูปธรรมให้แก่ครูที่ต้องเสี่ยงภัยในภาคใต้ สะท้อนว่ารัฐบาลไม่เอาใจใส่และไม่จริงใจต่อการแก้ปัญหา เป็นการทำงานแบบไม่ทำงาน คือ ใช้การตลาดนำการเมืองจนเกินไป เช่น กรณีการเดินทางไปมาเลเซียของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ก็ไร้ข้อสรุป มีเหตุเผากล้องซีซีทีวีที่ยะลา อ้างว่าเป็นความขัดแย้งทางธุรกิจ ซึ่งตรงกันข้ามกับที่ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ออกมายอมรับว่าเป็นเรื่องความไม่สงบในภาคใต้ แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่เอาใจใส่ปัญหา พูดไปคนละทิศละทาง ไม่ยอมรับว่าปัญหามีอยู่จริงทำให้แก้ปัญหาไม่ได้ เป็นความน่ากลัวเกี่ยวกับแนวคิดของรัฐบาลชุดนี้ จึงอยากให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทบทวนว่าควรมอบหมายให้ใครดูแลปัญหานี้ เพราะถ้าทำงานสะเปะสะปะ ใช้การตลาดนำหน้า ไม่ทราบชีวิตครู ประชาชนจะต้องสังเวยกับความไม่สงบในพื้นที่อีกเท่าไหร่
นายชวนนท์ยังเปรียบเทียบเรื่องปัญหาภาคใต้ กับการขึ้นค่าแรง 300 บาทที่ส่งผลกระทบชัดเจน เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอที่เริ่มปิดตัวลงไปแล้ว รวมถึงโรงงานเซรามิกที่ได้รับผลกระทบ และโรงงานที่ใช้แรงงานมากได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ แต่นายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ รมช.พาณิชย์ พยายามแก้ตัวแบบร้อนรนว่าไม่มีการปิดตัวเพราะปัญหาค่าแรง 300 บาท เป็นการปฏิเสธปัญหาเพื่อเอาตัวรอด ทำให้รัฐบาลไม่สามารถเป็นที่หวังของประชาชนได้ เนื่องจากไม่ยอมรับและไม่แก้ปัญหา คิดแต่จะเอาตัวรอดปฏิเสธว่าไม่มีปัญหา พาประเทศไปสู่หายนะ ทั้งปัญหาภาคใต้ และเรื่องเศรษฐกิจ จึงอยากให้เตือน รมต.ให้ปรับทัศนคติในการแก้ปัญหาใหม่ ถ้าไม่มีปัญญาแก้ปัญหาขอให้เปลี่ยนตัวคนเป็นรัฐมนตรี เพราะถือเป็นการลอยตัวไม่รับผิดชอบต่อปัญหาของประชาชน
ด้านนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ผู้อำนวยการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.พรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงการหาเสียงของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครพรรคว่า ในวันที่ 17 ม.ค.นี้จะเดินทางไปพบประชาชนพร้อมกับนำเสนอนโยบาบเกี่ยวกับการบริหาร กทม.ในอีก 4 ปีข้างหน้าที่ชุมชนคลองเตยโดยจะเริ่มต้นที่ชุมชน 70 ไร่ เวลา 10.00 น. เพื่อพูดถึงแนวนโยบายในการรณรงค์แก้ปัญหายาเสพติดในส่วนความรับผิดชอบของ กทม. ขณะเดียวกันจะพูดถึงปัญหาเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของคน กทม. ซึ่ง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์เน้นมหานครแห่งความปลอดภัย ซึ่งจะนำเสนอนโยบายเกี่ยวกับการติดตั้งกล้องซีซีทีวีเพิ่มทั่วทั้งเมือง เชื่อมโยงเครือข่ายเอกชนที่มีอยู่ทั่ว กทม.ประมาณ 2 แสนตัว เพื่อเป็นการร่วมสร้าง กทม.ให้เป็นมหานครแห่งความปลอดภัย เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลเป็นเครือข่ายเดียวกัน สร้างประโยชน์ให้คน กทม.ร่วมกัน จากเดิมที่ใช้ประโยชน์เฉพาะของเอกชนไม่ได้เชื่อมเข้ากับ กทม. ก็จะมีการเชื่อมมายังศูนย์ของ กทม.ด้วย เพื่อให้เอกชนมีส่วน “ร่วมสร้าง กทม.” ตามคำขวัญของพรรคประชาธิปัตย์
นายองอาจกล่าวด้วยว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้รับหนังสือจากทางดีเอสไอแจ้งข้อกล่าวหาว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์บริจาคเงินให้พรรคในขณะดำรงตำแหน่งเป็น ส.ส.ของพรรค ในลักษณะเดียวกับที่ ส.ส.คนอื่นและนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์โดน คือ บริจาคเงิน 2 หมื่นบาทโดยไม่ทำเป็นเช็คขีดคร่อมในนามส่วนตัว แต่ให้สภาดำเนินการแทน ซึ่งในส่วนของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้รับหนังสือจากดีเอสไอตั้งข้อกล่าวหาทำความผิดและเรียกไปรับทราบข้อกล่าวหาในวันศุกร์นี้คือวันที่ 18 ม.ค. 56 เวลา 13.30 น. ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมเพราะเป็นผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ในนามพรรคประชาธิปัตย์ กำลังจะรับสมัครในวันจันทร์นี้ แต่ดีเอสไอก็เรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาเพื่อแจ้งดำเนินคดีในวันศุกร์ก่อนที่จะมีการสมัครในวันจันทร์ เช่นเดียวกับกรณีการแจ้งข้อกล่าวหาเรื่องบีทีเอส เมื่อพรรคมีมติส่ง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ก็แจ้งให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 9 ม.ค.ก่อนครบวาระดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.เพียง 1 วันในวันที่ 10 ม.ค. 56
นายองอาจกล่าวด้วยว่า การนำเงินให้พรรคเป็นค่าบำรุงพรรคที่เป็นไปตามข้อบังคับและมติของพรรคเพื่อให้ ส.ส.มีส่วนร่วมในการสร้างพรรคเพื่อทำงานการเมือง จึงอยากเรียกร้องไปยังดีเอสไอและผู้ที่เกี่ยวข้องรวมถึงรัฐบาลว่าลักษณะนี้ไม่ควรเกิดขึ้นในช่วงที่มีการเลือกตั้ง เพราะส่อเจตนาว่าพยายามที่จะใช้อำนาจโดยไม่ถูกต้องเหมาะสม แม้ว่าดีเอสไอจะเป็นเจ้าพนักงานมีสิทธิตั้งข้อกล่าวหาเรียกใครไปสอบสวนเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริงด้วย พรรคจึงจะประสานไปยังดีเอสไอว่าไม่พร้อมที่จะไปพบดีเอสไอเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาในวันศุกร์นี้ เพราะมีกำหนดการชัดเจนไปศูนย์กลางอิสลามแห่งประเทศไทย พบพี่น้องมุสลิมเพื่อร่วมทำพิธีทางศาสนาในตอน 12.00 น. กว่าจะเสร็จภารกิจก็เป็นช่วงบ่ายที่เลยกำหนดที่ดีเอสไอนัดหมายแล้ว ทั้งนี้ไม่อยากให้เรื่องนี้ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพราะมีเหตุบังเอิญในการที่ดีเอสไอแจ้งข้อกล่าวหา ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ สอดคล้องกับจังหวะทางการเมืองมาแล้วหลายครั้ง จึงขอร้องว่าอย่ามีการกลั่นแกล้ง รังแกผู้สมัครของพรรค แต่ต้องให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรม และเท่าเทียมกัน