“สนธิ” ลั่น “ชัยสิทธิ์” ใช้ถ้วยพระราชทานปลอม เรื่องยังไม่จบ ชี้อ้างขอพระราชทานอภัยโทษแล้วทั้งที่ยังไม่ได้รับโทษจะทำไม่ได้ ยกกรณี “เสี่ยอู๊ด” เทียบ เป็นคดีอาญาแผ่นดิน ไม่ต้องมีผู้ร้องทุกข์ก็สามารถดำเนินคดีได้ แต่เจ้าหน้าที่รัฐกลับเงียบหมด พร้อมเผยให้พันธมิตรฯ ตัดสินใจเลือกผู้ว่าฯ กทม.ตามใจชอบ แกนนำฯไม่มีมติ เนื่องจากเห็นว่าเป็นการเมืองท้องถิ่นที่ไม่มีอำนาจแท้จริง
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ"
เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. เมื่อเวลา 20.00 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โพสต์ทางเฟซบุ๊กให้ร่วมกันคว่ำประชามติแก้รัฐธรรมนูญเพื่อก้าวข้าม พ.ต.ท.ทักษิณ ยุติความล้มเหลวทางการเมืองว่า นายอภิสิทธิ์ต้องยอมรับว่าพรรคประชาธิปัตย์ และคุณอภิสิทธิ์ก็เป็นส่วนหนึ่งของการเมืองที่ล้มเหลวเช่นกัน บอกว่าพรรคตัวเองยืนหยัดในสิ่งที่ถูกซึ่งมันตรงกันข้าม เพราะข่าวต่างประเทศเขาระบุชัดเจนแล้วว่า เงินที่ถูกส่งออกไปเมืองนอกในการโกงในยุคนายอภิสิทธิ์มีถึง 3 แสนกว่าล้านบาท เพราะฉะนั้นต้องยอมรับว่าประเทศล้มเหลวเพราะนักการเมือง สมัยอภิสิทธิ์ก็มีการคอร์รัปชัน ผลสรุปประชาชนก็ถูกปล้นเหมือนกันเพียงแต่รูปแบบต่างกัน
นายอภิสิทธิ์ยังคิดแบบสุภาพบุรุษผู้ดีจอมปลอมชาวอังกฤษ คือมองว่าการเมืองคือการแก้ปัญหา แต่ไม่เคยคิดเลยว่านักการเมืองในที่สุดแล้วสันดานเหมือนกันหมด นายอภิสิทธิ์ยังก้าวข้ามไม่พ้นตัวเอง ซึ่งต้องยอมรับว่าการเมืองไทยไปต่อไม่ได้ด้วยนักการเมืองในระบบปัจจุบัน ถ้านายอภิสิทธิ์บอกว่าเราต้องมาสร้างระบบการเมืองใหม่ ที่ให้ความยุติธรรมต่อปวงชน ไม่ใช่เน้นการเลือกตั้งยกมือเพียงอย่างเดียว เพราะการเลือกตั้งในกระบวนทัศน์ของตะวัตกคือวันแมนวันโหวต แต่ตะวันตกมันทำได้เพราะสื่อมวลชน ข้าราชการ อัยการ ตำรวจ ต่างซื่อตรงต่ออาชีพของตัวเอง แต่เมืองไทยวันแมนวันโหวตคือการให้ความชอบธรรมในการมีมือในสภาเพื่อที่จะมาทำอะไรตามที่ตัวเองต้องการ
เพราะฉะนั้น ถ้านายอภิสิทธิ์ต้องการที่จะสร้างการเมืองใหม่ขึ้นมา ต้องพร้อมที่จะแก้ระบบการเมือง แต่ไม่ใช่ลงมาแล้วบอกว่าเราต้องก้าวข้าม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และมาหยุดที่ตัวเอง นี่คือสิ่งที่ตนรับไม่ได้ เพราะนายอภิสิทธิ์เวลาตัวเองได้เปรียบจะพูดว่าการเมืองต้องจบลงในสภาฯ แต่วันนี้แพ้ในสภาฯ ก็มาบอกว่าจะร่วมกับมวลชนแต่ให้ตัวเองนำ
นายสนธิกล่าวอีกว่า กรณีของ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ใช้ถ้วยพระราชทานปลอมในการแข่งขันมวย ไม่ได้ต่างกับกรณีเสี่ยอู๊ด (นายสิทธิกร บุญฉิม) จัดทำพระสมเด็จเหนือหัว โดยที่ด้านหลังของพระรุ่นนี้มีการขึ้นรูปมงกุฎทำให้คนเข้าใจว่ามีความเกี่ยวเนื่องกับสำนักพระราชวัง แต่สำนักพระราชวังปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้อง แล้วเสี่ยอู๊ดยังโกหกด้วยว่าได้รับดอกไม้พระราชทาน เรื่องตอนนั้น นายสุนัย มโนมัยอุดม เป็นอธิบดีดีเอสไอ สั่งให้นายสรรเสริญ ปาลวัฒน์วิไชย ผู้บัญชาการสำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภค เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน ดำเนินการสืบสวนสอบสวนกรณีการจัดสร้างพระเหนือหัวทันที เนื่องจากความผิดกรณีดังกล่าวเป็นคดีอาญาแผ่นดิน ไม่ต้องรอให้ผู้ใดมากล่าวร้องทุกข์ ปรากฏว่าเสี่ยอู๊ดถูกดำเนินคดีศาลพิพากษาให้จำคุก 5 ปี
ตนอยากให้ฟังคำพิพากษาดีๆ ศาลบอกว่า “การโฆษณาด้วยข้อความว่าจะนำเงินไปสร้างอุโบสถนั้น ไม่เป็นการหลอกลวงประชาชน แต่การที่จำเลยนำข้อความว่าได้รับดอกไม้พระราชทานเป็นมวลสารสร้างพระสมเด็จเหนือหัว ตามปรากฏในหนังสือพิมพ์หลายฉบับ และมีตราพระมงกุฎเพื่ออ้างอิงถึงพระมหากษัตริย์ เพื่อให้เข้าใจว่าพระเจ้าอยู่หัว จัดสร้างเกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์นั้น ถือว่าผิด จึงมีโทษจำคุก 5 ปี” ฉะนั้นการโฆษณาว่าจะมีการชกมวยชิงแชมป์ที่มาเก๊า และจะมีการมอบถ้วยพระราชทานนั้นไม่ผิด นั่นคือการพูด แต่การที่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ เอาถ้วยพระราชทานแล้วไปถวายให้ทั้งๆ ที่ไม่ได้รับอนุญาตจากสำนักพระราชวัง และสำนักพระราชวังได้ปฏิเสธที่จะอนุญาตไปแล้ว และกรณีนี้ร้ายแรงกว่าเสี่ยอู๊ดเสียอีกเพราะเสี่ยอู๊ดยังไม่เคยขอ แต่นี่ขอแล้วถูกปฏิเสธเท่ากับเป็นการโกหก หมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างชัดเจน
ที่สำคัญ พล.อ.ชัยสิทธิ์บอกว่าได้ทำหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษแล้ว เรื่องจบแล้ว ทั้งๆ ที่ขอพระราชทานอภัยโทษหมายความว่าต้องได้รับโทษก่อนถึงจะขออภัยโทษได้ ดังนั้นเรื่องนี้มันยังไม่จบ แต่เงียบกันหมด ทั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ร.ต.อ.เฉลิม พล.อ.ประยุทธ์ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ ที่ทำเป็นเก่งนักเก่งหนาเรื่องนี้จะว่าอย่างไร ซ้ำยังมีอนุฯ กสทช.บอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณออกช่อง 11 ไม่ผิด เข้าไปแทรกแซงสื่อไม่ได้ ยิ่งสะท้อนว่าเราไม่จำเป็นต้องมี กสทช. เลย
แกนนำพันธมิตรฯ ยังกล่าวถึงกรณีนายราเมศ รัตนะเชวง มือกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ถูกทำร้ายร่างกายสาหัส ว่า เรื่องนี้ตนเห็นใจ พล.ต.อ.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง (ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล) เพราะต้องตั้งข้อสงสัยว่านายราเมศมีเรื่องกับใคร ซึ่งก็หนีไม่พ้น พล.ต.อ.คำรณวิทย์ เพราะนายราเมศเป็นคนยื่นเรื่องสอบวินัยต่อ พล.ต.อ.คำรณวิทย์ กรณีให้ พ.ต.ท.ทักษิณติดยศให้ ฉะนั้นงานนี้ต้องจับคนร้ายให้ได้ ถ้าจับไม่ได้ลำบาก เพราะ พล.ต.อ.คำรณวิทย์จะแก้ตัวไม่พ้น อยู่ในสภาพลำบากมาก แล้วภาพลักษณ์ของตำรวจที่แย่มาตลอด จะไม่สามารถกู้ขึ้นมาได้
ส่วนเรื่องจุดยืนแกนนำพันธมิตรฯ ในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. นายสนธิกล่าวว่า ที่นายประพันธ์ คูณมี โพสต์ลงเฟซบุ๊กว่าแกนนำพันธมิตรฯ สนับสนุน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อันนี้ต้องชี้แจง ประเด็นแรกพวกเรารู้จักกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ สนิทสนมมากน้อยแล้วแต่บุคคล แต่เมื่อมาถึงเรื่องการเมืองแกนนำพันธมิตรฯ เราไม่เอาการเมืองระบบเก่า พรรคการเมืองเราไม่เอาเลย หากถามว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ลงเลือกตั้งอิสระเราจะเอาเขาหรือไม่ พวกเราไม่มีความเห็นสุดแล้วแต่พันธมิตรฯ รักใครชอบใครก็เลือกคนนั้น แต่ตนไม่เลือกใครสักคน เพราะตำแหน่งผู้ว่ากทม.ที่สุดก็คือตำแหน่งการเมือง ทำอะไรไม่ได้ ทำได้แต่ไล่จับแม่ค้า เปิด-ปิดประตูระบายน้ำ ทำทางเท้า แล้วมีการฉ้อราษฎร์บังหลวงสูงมากแต่ไม่มีใครไปตรวจสอบ ซึ่งนายประพันธ์มาพบตน และบอกว่าตัดสินใจจะไปช่วย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ตนก็เลยบอกว่าเป็นสิทธิ์สามารถไปได้ แต่ต้องออกจากแกนนำ และหยุดทำรายการที่เอเอสทีวี
ในความเห็นตน กทม.จะมีความหมายก็ต่อเมื่อรัฐบาลยอมกระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่นอย่างแท้จริง เช่น โอนการไฟฟ้า การประปา โรงรียนสังกัดกระทรวงศึกษาฯในพื้นที่ กทม. โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขในท้องที่ กทม. โอนสิ่งเหล่านี้ให้เป็นของ กทม.ทั้งหมด และมีอำนาจเก็บภาษี เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ผู้ว่าฯ กทม.คือนายกฯ น้อย หากเป็นแบบนี้ได้พันธมิตรฯ ถึงจะมีบทบาทต่อการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.มากกว่าเดิม
คำต่อคำ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ศุกร์ที่ 21 ธ.ค.2555
รายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ออกอากาศทางเอเอสทีวี วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม 2555 เวลา 20.00-22.30 น. ดำเนินรายการโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล นางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ และนางอุษณีย์ เอกอุษณีย์ ร่วมดำเนินรายการ
จินดารัตน์ - สวัสดีค่ะ
กรองทอง - สวัสดีค่ะ ขอต้อนรับเข้าสู่คุยทุกเรื่องกับสนธินะคะ วันนี้วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม ซึ่งโลกก็ยังไม่แตก และเราก็ยังอยู่กันดีอยู่นะคะ
จินดารัตน์ - ร้อนตับแตกค่ะ
กรองทอง - ใช่ค่ะ อยู่กันดีอยู่จนถึงวินาทีนี้ เพื่อที่จะมาพบกับคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ค่ะ สวัสดีค่ะ
จินดารัตน์ - สวัสดีค่ะ ตกลงเราก็ยังอยู่ดีนะคะ แต่เขาบอกว่าคนไทยอกจะแตกตาย เพราะมันมีนักการเมืองเดินออกจากคุก 1 คน
สนธิ - ปัดโธ่เอ๊ย
จินดารัตน์ - เขาบอกว่าแย่กว่าโลกแตกอีกนะ
กรองทอง - คือเมืองไทยถ้าเทียบกับเมืองนอก ไม่ค่อยตื่นตัวเหมือนเมืองนอกเท่าไรนะคะ เรานี่ถ้าจะสิ้นโลก มากลัวสิ้นชาติดีกว่า ด้วยหลายๆ อย่าง
สนธิ - เมืองไทยมันเป็นเมืองที่พิเศษ ประการแรกเลย โดยอัตราส่วนแล้ว คนโง่จะมากกว่าคนมีปัญญา ต้องเริ่มตรงนี้ก่อน อันที่ 2 เป็นคนที่ ... อะไรจะเกิดขึ้นไม่สนใจ ขอให้ตัวเองเอาตัวรอดก่อน มีความสุขไปวันๆ ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น น้ำมันจะขึ้น 3 ลิตร 100 หรือ 2 ลิตร 100 ก็ช่างหัวมัน ขอให้มีความสุขกับมัน ผมคิดว่าคนไทยส่วนใหญ่นะ คงไม่ใช่ทุกคน อย่างน้อยที่สุดก็พันธมิตรฯ ก็เป็นข้อยกเว้น คิดอะไรไม่เคยเกินหัวแม่ตีน ผมถึงบอกว่าเมืองไทยต้องใช้ตรรกะหัวแม่ตีนไง แต่ถ้ามันแรงหน่อยก็ใช้ไม่ได้ ก็เป็นตรรกะส้นตีน เพราะฉะนั้นแล้วคนไทยดูไปแล้วเหมือนกับเป็นประเทศที่ดี แต่ดูให้ลึกๆ แล้วเป็นประเทศที่น่าสงสาร ทุกวันนี้ชาติบ้านเมืองที่มันไปไม่ได้อย่างนี้เพราะว่า คนไทยโดยพื้นฐานเป็นอย่างนี้จริงๆ เวลาเราสังเกตอย่าง ประเทศที่เขาเจริญแล้ว เขาเจริญในลักษณะที่อย่างน้อยที่สุดเขาจะมีสื่อมวลชน เป็นตัวซึ่งคอยคานหลายๆ เรื่องไว้ อย่างอเมริกาเป็นประเทศทุนนิยม แต่ทำไมนักการเมืองอเมริกา หรือนักการเมืองเกาหลี หรือนักการเมืองญี่ปุ่นถึงมียางอาย ที่พวกนี้เขามียางอายเพราะอะไร ที่เขามียางอายเพราะว่าสื่อมวลชนของเขา ไม่ได้วางตัวเป็นกลางอย่างเดียว เขายืนอยู่บนความถูกต้อง อะไรที่ไม่ถูกต้อง เขาจะรายงานและจะยืนอย่างปักหลักเลย เหมือนอย่างที่ผมเคยพูดมานานแล้วว่า ราคาน้ำมันแบบนี้ ถ้าเป็นอเมริกาเนี้ย สื่อมวลชนมันเอารัฐบาลตายไปแล้ว แล้วจะเป็นบริษัทเชฟรอน หรือเอ็กซ่อนเอาเงินไปลงโฆษณากับนิวยอร์คไทมส์มันไม่สนใจหรอก มันก็จะล่อจนเรียบร้อย
ญี่ปุ่น เกาหลี ก็เหมือนกัน รวมไปจนถึงอเมริกาหรืออังกฤษมันก็มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง ข้าราชการของเขาที่จะต้องอยู่ในกระบวนการยุติธรรมเขาไม่กลัวอำนาจนักการเมือง อัยการ ตำรวจ ไม่รู้ว่าแอนจำอดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นชื่อทานากะได้มั้ย นายทานากะเคยเป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น แล้วรับสินบนในการซื้อเครื่องบินตอนนั้นญี่ปุ่นซื้อเครื่องบินเข้าสายการบินเจแปนแอร์ไลนส์ รับสินบน แล้วสืบสาวราวเรื่องว่ารับสินบน ตำรวจญี่ปุ่นจับนายกรัฐมนตรีทานากะ แล้วดำเนินคดีนายกฯทานากะจนต้องลาออก เพราะฉะนั้นแล้วกระบวนการยุติธรรมของเขา ตั้งแต่ตำรวจไปจนถึงอัยการ เขาตรงไปตรงมา เขาไม่รับคำสั่งนักการเมือง สังคมมันเลยอยู่ได้ พอสังคมอยู่ได้ สื่อมวลชนดี คนที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมเที่ยงตรงดี ทั้งสองส่วนมันก็เลยทำให้สื่อมวลชนสามารถจะรายงานอะไรตรงไปตรงมาได้ มันก็เลยเป็นผลพลอยได้ ทำให้ประชาชนเขามีปัญญา ถูกมั้ย พอประชาชนมีปัญญา สื่อมวลชนไม่ถูกสินบาตรคาดสินบนคลุมตัวเอง ก็รายงานไปอย่างตรงไปตรงมา อะไรที่เป็นปัญหาของชาติ เขาก็รายงานออกไป อะไรที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการฉ้อราษฎร์บังหลวง เขาก็รายงานไปเต็มที่โดยที่เขาไม่เกรงกลัวอะไร ประชาชนก็มีปัญญาเพิ่มพูนไปเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้นแล้วเวลาเขาเลือกตั้ง เขาถึงสามารถจะเลือกนักการเมือง ขนาดเขามีปัญญาขนาดนั้น นักการเมืองเขาก็ยังขี้โกง แต่เผอิญระบบของเขาปราบคนโกงได้ดีพอสมควร เพราะฉะนั้นแล้วเมื่อเขาปราบคนดีได้ดีพอสมควรแล้ว มันก็เลยทำให้ระบบของเขายังพอที่จะเชื่อถือได้พอสมควร แต่เมืองไทยระบบมันเชื่อถือไม่ได้
จินดารัตน์ - ตำรวจไปให้นักโทษหนีคดีติดยศ
สนธิ - ก็นี่ไง พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง บินไปให้ทักษิณ ชินวัตร นช.ทักษิณ ติดยศ แล้วยังมีหน้ามาติดป้ายว่า มีวันนี้เพราะพี่ให้ แสดงว่าคุณธรรม จริยธรรม และหลักการในชีวิตของตนเอง ที่ตนเองเป็นตำรวจมันไม่มีเหลือเลย เพราะว่าทักษิณจะโดนคดีด้วยเหตุผลใดก็ตาม ในการกล่าวอ้างของเขาว่า เป็นเรื่องการเมือง เป็นเรื่องโน้นนี้ แต่ประเด็นคือ ศาลฎีกาได้พิพากษาแล้วว่า เขาจะต้องถูกจำคุก 2 ปี และทักษิณหนีคดี โดยพื้นฐานของสายเลือด โรงเรียนนายร้อยตำรวจที่ตนเองเรียนมา เขาสอนว่าตำรวจ ลำพังตำรวจไปนั่งในบ่อนที่เขารู้ว่า เป็นนักเลงคุมบ่อน หรือเป็นเจ้าของบ่อนยังอายยังไม่กล้าเลย นี้นับประสาอะไรกับไป ไปให้เขาติดยศเสียด้วย เมื่อเรามีคนอย่าง พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ทำได้อย่างนี้ และไม่รู้สึกอะไร เพราะฉะนั้นแล้วมันจะไปพึ่งหวังอะไรกับตำรวจ มันพึ่งไม่ได้ ตำรวจพึ่งไม่ได้ อัยการพึ่งไม่ได้ ผู้พิพากษาบางคนพึ่งไม่ได้ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วระบบผู้พิพากษา ระบบศาลยังใช้ได้ดีอยู่พอสมควรใช่ไหม สื่อมวลชนไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เพราะสื่อมวลชนโดยพื้นฐานแล้ว มีเจ้าของ ถ้าเจ้าของเห็นแก่ประโยชน์ หรือว่าคนที่ถือหุ้นใหญ่ในสื่อมวลชน ขายหุ้นตนเองให้กับอีกคนหนึ่ง โดยตนเองเป็นคนถือแทนให้ และรับเงินรับทองเขามา ประชาชนจะได้ปัญญาที่ไหน ได้แต่เรื่องโกหกไง
จินดารัตน์ - ซึ่งต่างกับอีกเจ้าของค่ายหนึ่ง เพราะคนเขาพูดกันเยอะ เขาพูดกันเยอะในเฟซบุ๊ก แอนขออนุญาตคุณสนธิเล่าให้คุณผู้ชมทางบ้านที่ไม่ได้เล่นเฟซบุ๊กฟัง คือเมื่อสัปดาห์ระหว่างสัปดาห์ ส.ว.คำนูญ สิทธิสมาน ได้โพสต์รูปขึ้นเฟซบุ๊กว่า มีโอกาสได้ไปที่โรงแรมแกรนด์ลี่เจียง ซึ่งโรงแรมนี้อดีตเจ้าของคือ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ทำให้คิดถึงในอดีต วันหนึ่งที่คุณสนธิเคยเป็นเจ้าของโรงแรมที่หลวงพระบางด้วย ที่ลี่เจียงด้วย แต่วันนี้ต้องขายทุกสิ่งอย่าง เพื่อภารกิจอะไรบางอย่าง คนเลยถามเข้ามาเยอะว่า คุณสนธิเคยมีโรงแรมที่จีน ที่หลวงพระบางด้วยเหรอ แกรนด์หลวงพระบาง สารภาพนะคะตอนที่แอนเข้ามาใหม่ๆอยากไปมากพยายามติดต่อโรงแรมจะไปๆ อ้าว เปลี่ยนเจ้าของแล้วนี่หว่า เลยไม่ได้ไป
กรองทอง - มีอีกรูปที่คุณคำนูณโพสเอาไว้ที่คุณสนธิยืนอยู่บนยอดเขา เขามังกรหิมะ แล้วคุณคำนูณก็เขียนไว้ว่าเป็น 1 ปี ก่อนที่จะเกิดรัฐประหาร คือตอนปี 48 เป็นปีที่รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ถูกถอดออกจากช่อง 9 แล้วเหมือนกับภาพมันให้อารมณ์
สนธิ -ที่ยืนอยู่เป็นสุดยอดของยอดภูเขามังกรหิมะ สูงมากครั บอากาศบางมากหายใจแทบไม่ออก ถ้าร่างกายไม่แข็งแรงไปที่นั่นไม่ได้ ถ้าจำไม่ผิด วันนั้นเป็นวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2548 ที่ไปเพราะว่าวันนั้นเป็นวันที่ยอมรับว่าต้องตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิตตัวเองเพราะว่าทักษิณ ชินวัตร บอกให้บอร์ด อสมท. ซึ่งตอนนั้นก็มี ธงทอง จันทรางศุ แล้วก็อดีตอธิบดีกรมอัยการเก่าคนหนึ่ง ให้ถอดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ เหตุผลเพราะว่าวันนั้น รายการสุดท้ายที่ออกก็คือรายการลูกแกะหลงทาง ที่พูดถึงบทความ ได้อ่านลูกแกะหลงทาง ที่แอ้ม-สโรชา อ่านไปร้องไห้ไป ต่อมน้ำตาแตก พอถอดออกมาปั๊บ คิดหนัก เรามีทางเลือกอยู่ 2 ทาง ตอนนั้น ทางแรกก็คืออยู่เฉยๆ ซะ ทำตัวเป็นเด็กดี ให้เขาเห็นว่าเขาถอดเราแล้ว เราก็เฉยๆ เราไม่ตอบโต้อะไร แล้วเราก็ทำมาหากินต่อไป หรือว่า ถ้าเราคิดว่าสังคมไทยจำเป็นที่จะต้องมีความจริงปรากฏอยู่ เราจะต้องทำ ต้องสู้ต่อ
ทีนี้ การสู้ต่อมันมีนัยเยอะมาก เพราะว่าผมตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่เคยคิดถึงตัวเอง คิดถึงคนรอบตัว ไม่เคยนะ ตัวเองยังไงก็ได้ แต่ขอให้คนรอบตัวรอดและมีความสุข เท่านั้นเอง ถ้าเราไปอย่างนี้แล้วเขาจะแกล้งเราได้มั้ย แกล้งได้แน่นอน ใจผมคิดนะ แล้วเราจะเอายังไง นั่นก็คือที่มาของการไปยืน คือนึกอะไรไม่ออก ก็เลย..เผอิญตอนนั้นเคยมีหุ้นส่วนใหญ่อยู่ที่โรงแรมแกรนด์ลี่เจียง ก็เลยนั่งเครื่องบินไปที่คุนหมิง ต่อเครื่องบินไปที่ลี่เจียง แล้วก็ขึ้นไปบนภูเขามังกรหิมะ แล้วก็ไปยืนสงบสติอารมณ์ เหมือนกับยืนสมาธิ หนาวมากนะแอน ตอนนั้น หนาวนะ..ยืนสูดลมหายใจและกำหนดจิตให้ดีๆ แล้วในที่สุดก็ตกผลึก เพราะว่าเห็นความยิ่งใหญ่ของขุนเขา เรามีความรู้สึกว่า เราจะตายหนักอย่างขุนเขา หรือว่าเราจะตายเบาอย่างขนนก
มีความรู้สึกว่าขุนเขามันยิ่งใหญ่เหลือเกิน แต่มันยิ่งใหญ่เพราะความเป็นเขา เราไม่ต้องการที่จะทำตัวให้ยิ่งใหญ่ แต่อย่างน้อยใจเราต้องเป็นใหญ่ ใจเราต้องเป็นประธาน เพราะฉะนั้นแล้วนั่นคือการตัดสินใจที่เด็ดขาด กลับมาก็เลยเกิดยุทธการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ใช่ไหมครับ และสู้ไปเรื่อยๆ สู้ไป สู้ไปจนกระทั่ง ตอนที่สู้ครั้งแรกๆ ไม่มีใครบริจาคหรอก เงินส่วนตัวทั้งนั้นควักออกตลอดเวลา แอน สมัยก่อนนี้ชุมนุมทีหนึ่ง เงินกระเป๋าสนธิหมดเลยทุกบาททุกสตางค์ ไม่มีการตั้งกล่องเรี่ยไรไม่มีเลย ไหนจะเวที ไหนจะคน จัดที่เมืองไทยรายสัปดาห์ ค่าเช่าสถานที่ ค่าถ่ายทอดสด และพอเริ่มไม่เห็นด้วยกับทักษิณ เขาแกล้งเราทุกวิถีทาง ตั้งแต่ตรวจสอบภาษี สั่งตัดโฆษณาหมดทุกอย่าง ไม่มีเลยรายได้ที่เคยเข้ามา เดือนหนึ่งประมาณ 20-30 ล้าน หายไปกับตา แอน ต้องใช้เงิน นี่คือจุดที่มาว่า ทำไมต้องดูแลพนักงาน ผมจำได้ว่าผมเคยประชุมพนักงานที่ตรงบ่อน้ำพุ แอนไม่รู้ได้เข้าหรือเปล่า ผมว่าผมตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ว่าผมจะต้องต่อสู้กับความไม่เป็นธรรม ผมบอกพนักงานบอกว่า ชีวิตจะไม่แน่นอนแล้ว ถ้าใครอยากจะเดินกับผมก็อยู่ ถ้าใครคิดว่าจะไปหางานทำใหม่ก็ไปเลย ผมไม่ว่า ผมจำได้ประชุมหมดเลย คนเต็มหมดเลย ในที่สุดทำไปเงินเริ่มหมด ค่าใช้จ่ายอย่างที่บอก เดือนหนึ่งจะต้องเสียติดลบ 10-20 ล้านต้องมี เพราะว่าสมัยก่อน ยุคเราถ่ายทอดสด ทีมงานเราใหญ่ พนักงานเอเอสทีวีมีความรู้สึกว่า ได้ทำอะไรที่เป็นความจริง มีความกล้าหาญ ไม่กลัวอำนาจมืด ไม่กลัวอิทธิพล ไม่กลัวที่จะโดนผู้ใหญ่ในสถานีลงมาบีบให้รายงานอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ขณะเดียวกันไม่ได้ไปกำหนดว่า เขาจะต้องไปทะเลาะกับทักษิณ แค่เอาความจริงรายงานไปเรื่อยๆ เขาเริ่มเห็นว่า ความจริงมันเป็นนี้ เขาเริ่มคล้อยตามเรา และสัจธรรมวิธีปฏิบัติยังดำรงอยู่จนทุกวันนี้ นุกทำงานมากี่ปี
กรองทอง - ตั้งแต่ปี 48 -49
สนธิ - 48 แล้วหรอ เข้ามาตั้ง 48 เลยหรอ นี่เธอแก่ขนาดนี้เชียว
กรองทอง - เข้ามาตั้งแต่ตอนเด็ก แล้วมาเป็นสาวที่นี้
สนธิ - เป็นสาวที่นี้ นุกจำได้ไหมตั้งแต่ปี 48 จนถึงปีนี้ ณ วันนี้เวลานี้ ผมเคยเดินไปบอกนุกหรือเปล่าว่า ให้รายงานข่าวอย่างไง
กรองทอง - ไม่เคย
สนธิ - ไม่เคยเลย และนี้คือวัฒนธรรมที่แท้จริงของเอเอสทีวี พอทำไปทำมาเงินเริ่มหมดจะทำอย่างไร โอ้ยเส้นทางการต่อสู้กับทักษิณนี้ยาวนาน เขามีเงินถุงเงินถัง เลยตัดสินใจมีสมบัติโรงแรมแกรนด์หลวงพระบาง อยู่ตรงคุ้มแม่น้ำโขง เป็นเขาเรียกว่า วังเพชระเก่า
จินดารัตน์ - อันนี้ใช่ไหมคะ
สนธิ - นี่แหละวังเพชระเก่า เป็นวังและเป็นที่ๆ ผมไปคุยกับท่านท้าวบุญผล ท่านท้าวบุญผล ท่านเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และท่านเป็นคนหลวงพระบาท ท่านให้สถานที่นี้มา ท่านให้สัญญารู้สึกจะ 25 ปี หรือ 30 ปีจำไม่ได้ สร้างเป็นโรงแรม 80 ห้องขึ้นมา ลงทุนไป ไม่ไหวแล้ว อยู่ต่อไม่ได้ไม่มีเงินเลยต้องขายทิ้งเพื่อเอาเงินมาสู้ ASTV
จินดารัตน์ - ทำใจนานมั้ยคะ
สนธิ - ทำใจไม่นานนะ เพราะมันของสมมตินะแอน คือผมเป็นคนไม่ยึดติดกับวัตถุอะไรทั้งสิ้นเลยนะ แต่ไหนแต่ไร แล้วคุณรู้มั้ยว่าใครซื้อไป เสี่ยเจริญ เบี่ยตราช้าง แล้วรู้มั้ยว่าแกซื้อไปด้วยราคาเท่าไหร่ แค่ 120 ล้านเอง โรงแรม 5 ดาว เวลาเราอยู่ภาวะการที่ร้อนเงินเสียเปรียบคนที่ถือไพ่เหนือกว่าเราเขาจะเป็นคนกำหนดราคา ทิศทางของเรา วันนั้นถ้าเขาจ่าย 80 ล้านเราก็ต้องรับ เพระาต้องเอามาใช้จ่ายใน ASTV หลังจากนั้นก็ขายหุ้นโรงแรมแกรี่เจียงทิ้งในส่วนของผมนะครับ ส่วนคนอื่นก็ยังอยู่ นั่นคือที่มาของสิ่งที่คุณคำนูณพูด อันนี้ครัวโรงแรม ผมทำอาหารให้คนกินกัน ผมเผ็นเชฟเองเลย
จินดารัตน์ - สงสัยนุ้กยังไม่ทราบว่าคุณสนธิมีสูตรอาหารประจำตัวที่คิดขึ้นเอง หลายเมนูด้วย และอร่อยด้วย
สนธิ - ผมผัดอาหารเอง ทำอาหารเลี้ยงเอง เพราะว่าครัวคนจีนทำอาหารไม่ค่อยเป็น ผมทำเขาก็กินกันเอร็ดอร่อยเต็มที่ เห็นมั้ยแอน เถ้าแก่จริงหรือเปล่านี่ อันนี้ก็คือคลองที่อยู่ผ่านเมืองลี่เจียง โรงแรมอยู่ติดคลองน้ำ ซึ่งเป็น้ำธรรมชาติเกิดขึ้นมา นี่คือที่มาที่คุณคำนูณไปแล้วเล่าให้ฟัง
จินดารัตน์ - พอพี่คำนูณเอาภาพขึ้นเฟสบุ๊กเลยมีคนทางบ้านส่งกำลังใจมาส่งคำถามมา คุณธัญญ่าถามมาว่า โรงแรมที่ขายไปมีทั้งหมดกี่โรงคะ ขายราคาเท่าไร ถ้าไม่แพงนักเดี๋ยวธัญญ่าจะซื้อคืนมาให้
สนธิ - เหอๆๆ หรือเปล่า คงจะพูดเล่น คงจะยั่วมากกว่า
จินดารัตน์ - คุณแหม่มเลิฟคิง บอกว่าคุ้มค่ะที่เสียโรงแรมไป แต่ได้รับความรัก ความศรัทธาจากมวลชนมากมาย และที่สำคัญประเทศชาติและสถาบันยังคงอยู่รอดปลอดภัย สมบัติผลัดกันชม หาใหม่ได้ค่ะ แต่ว่าศรัทธาเงินซื้อไม่ได้
สนธิ - คำนูณเขาพูดถูกอยู่คำหนึ่ง เขาบอกว่าถ้าผมเป็นคนที่ธุระไม่ใช่ ก็คือว่าชาติบ้านเมืองไม่ใช่ของผมคนเดียว ปล่อยมันไปเถอะ แล้วผมก็หยุดเอเอสทีวีซะ ไม่ต้องขาดทุน ใช่มั้ยแอน ป่านนี้ก็ยังมีโรงแรมอยู่ 2 โรงแรม อย่างน้อยที่สุด ตลอดจนที่ดินอยู่หลายผืนที่ขายทิ้งไป ในช่วงหลัง ซึ่งประสบการณ์นี้แอนก็รู้อยู่แล้ว ผมก็คิดว่าผมไม่เดือดร้อน และถ้าผมทำตัวไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใครทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทย หรือแม้กระทั่งพรรคประชาธิปัตย์ ผมคิดว่าก็คงจะไม่ได้เดือดร้อนหรือลำบากแบบนี้ แต่คำนูณก็พูดถูก ถ้าสนธิคิดได้เพียงแค่นั้น ก็ไม่ใช่สนธิ ลิ้มทองกุล เพราะว่าผม พรรคพวก เด็กๆ ลูกน้อง หรือคนสนิทเขาบอกว่า เวลาเขาพูดถึงสนธิ คนในวงเหล้า เขาบอกว่าไอ้สนธิ อย่าไปยุ่งกับมัน เพราะว่ามันเป็นคนเผาแบงก์ห้าร้อย หาเหรียญสลึง เข้าใจหรือเปล่า
จินดารัตน์ - อันนี้ล่ะที่ทักษิณพลาด
สนธิ - ที่ทักษิณพลาดไง
จินดารัตน์ - ทักษิณพลาดอย่างแรง
สนธิ - คือทักษิณเขาไปมองว่าผมเป็นคนมีทรัพย์สมบัติ ผมจะต้องหวงทรัพย์สมบัติผม
กรองทอง - เหมือนที่เขาคิด เขาเอาตัวเองเป็นตัวตั้ง
สนธิ - เขาเอาตัวเขาเองเป็นตัวตั้ง แต่เผอิญในช่วงปี 2548 ผมผ่านมาเยอะแล้ว ผมผ่านการบวช ผมผ่านอะไรหลายอย่าง ผมผ่านการปฏิบัติธรรมจนกระทั่ง ผมไม่ได้บรรลุธรรมถึงขนาดนั้นหรอก แต่ผมมีความเข้าใจว่าทุกอย่างมันเป็นเรื่องสมมุติหมด มันเป็นเรื่องสมมุติจริงๆ นะ
กรองทอง - แต่ชีวิตมันจะต่างกันเยอะเลยนะคะ ชีวิตแบบนี้ กับเลือกชีวิตที่เป็นนักธุรกิจ มีโรงแรมที่อยู่ในเมืองมรดกโลก ทำกำไรได้เห็นๆ กับมาดำเนินองค์กรสื่อที่ไม่ขอเป็นกลาง ชีวิตมันต่างกันเยอะเลยค่ะ
สนธิ - แต่ใจมันไม่สงบ นุก
จินดารัตน์ - ใหม่ๆ คุณสนธิทำใจได้มั้ยคะที่จะต้องเปลี่ยนแบบหน้ามือเป็นหลังมือแบบนี้
สนธิ - ผมคิดว่าพอเดินหน้าแล้วมันถอยไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อรู้ว่าเป้าหมายที่เดินไปคือเป้าหมายที่เป็นธรรม แล้วต้องเป็นธรรมนำหน้า คือผมยอมรับว่าผมได้หลักธรรมจากองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ องค์หลวงตามหาบัว ชัดเจน สนธิ ท่านชี้ ให้เอาธรรมนำหน้า อย่าลืม ท่านจะย้ำอย่างนี้ ให้เอาธรรมนำหน้า อย่าลืม ไอ้เราตอนแรก คือให้เอาธรรมนำหน้าหมายความว่าเราจะต้องสวดมนต์ทุกวัน เอ้า พอยิ่งสู้ไปๆ เรายิ่งเข้าใจว่าพ่อแม่ครูอาจารย์นี่ลึกซึ้งมาก คำว่าธรรมมันคลุมหมดทุกอย่าง ธรรมคือความถูกต้อง ธรรมคือจริยธรรม ธรรมคือความกตัญญูรู้คุณคน ธรรมคือการไม่ทรยศต่อแผ่นดิน ธรรมคือการเคารพนับถือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ ธรรมคือชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ธรรมมันคลุมไปหมดทุกอย่างเลย เราถึงเข้าใจไง พอหมด 193 วัน เราต้องสู้ต่อเรื่องเกี่ยวกับ 158 วัน ก็ไปกราบท่านอีก แต่ระหว่างทางไปกราบท่านบ่อย งวดนี้ท่านเปลี่ยนใหม่ ท่านบอกไปครั้งนี้ให้พุทโธ พุทโธ พุทโธอย่าลืม คือให้มีสติตลอดเวลา ต้องมีสติท่านบอกให้พุทโธไว้ ให้พุทโธนะอย่าลืม หลวงตาไม่เคยพูดอะไรผิดเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะว่าผมไปเกี่ยวกับท่านหลายเรื่อง แม้กระทั่งเรื่องของทองคำ ผมนี่เอาพวกลูกเศรษฐี และเศรษฐีไปทำบุญกับหลวงตา บุญกุศลที่ทำเอาไว้เลยทำให้พวกเขา ยังพอเป็นเศรษฐีอยู่ต่อ เหตุผลหนึ่งซึ่งคนโบราณคนเก่าแก่เขาเล่าให้ฟังว่า ทำไมทักษิณ ชินวัตร ถึงได้เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะว่าบุญที่พ่อเขาทำเอาไว้ ปู่เขาทำเอาไว้ ทำกับใครรู้ไหม หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เป็นโยมอุปัฏฐากหลวงปู่มั่น สมัยหลวงปู่มั่นไปปฏิบัติธรรมอยู่ทางเหนือ นั่นคืออานิสงส์ที่ปู่เขาทำ และส่งต่อมาถึงทักษิณ ไอ้ผมเห็นลูกเศรษฐีที่พ่อมีเงินมีทองเยอะ แต่ไม่เคยคิดถึงเรื่องส่วนรวม ไม่ได้เคยคิดถึงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นัยของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไม่ใช่นัยของการบวชพร่ำเพรื่อ
ผมพาลูกชายของคุณเจริญ
จินดารัตน์ - ที่ซื้อโรงแรมไป
สนธิ - ไปนั่งกินข้าวกับเจริญ เสี่ยเจริญ ลูกชายนายหนุ่ม ผมบอกพี่เจริญ พี่รวยฉิบหายเลย ไปซื้อทองถวายหลวงตาหน่อยได้ไหม สัก 2 กิโลฯ ตอนแรกก็ยังคือๆ พวกคนพวกนี้จะชอบสร้างพระประธาน เป็นประธานทอดผ้าป่านึกออกไหม ได้หน้า บอกซื้อทองไปถวายหลวงตา ผมเลยต้องคอนบิ้ว(***)ตั้งนาน พูดตั้งนานจนกระทั่งในที่สุดตัดสินใจ ลูกชายเลยเอาทอง รู้สึกจะหนัก 2 กิโลฯ เอาไปถวายหลวงตามหาบัว อีกคนหนึ่งคือ คุณศุภชัย เจียรวนนท์ แต่นั้นคือการหลังจากหลวงตาท่านมรณภาพไปแล้ว จู่ๆ แกโทรมาหาผมบอก คุณสนธิครับ แกเรียกผมพี่ พี่สนธิผมอยากจะไปกราบร่างของหลวงตามหาบัวหน่อยได้ไหม บอกเอาซิศุภชัยจะไปเมื่อไหร่ บอกเดี๋ยวผมจะไปพรุ่งนี้ ผมประสานงานให้ เข้าไปเลยนะ เข้าด้านหลังไปที่โลงท่านเลย แล้วไปกราบที่โลงเลย ซึ่งธรรมดาเขาจะไม่ให้เข้า พ่อแม่ครูอาจารย์ พระอาจารย์น้อย ซึ่งเคยเป็นพระเลขาฯ ให้พระอาจารย์ติ๋ว จัดการบริการเสร็จเรียบร้อย แต่ก่อนคุณศุภชัยจะไป บอกคุณศุภชัยไหนๆ คุณจะไปแล้ว หลวงตารับบริจาคช่วงสุดท้ายของชีวิต หลังจากสิ้นแล้วเพื่อซื้อทองครั้งสุดท้ายให้ชาติบ้านเมือง คุณหยอดเศษตังคุณลงไปหน่อยในหล่องสักล้านบาทช่วยทำบุญซื้อทองไป เขาก็ดีนะคุณศุภชัยเขาก็ซื้อทองไป แล้วเขาก็เคารพหลวงตามหาบัว ปรากฏผมเชื่อว่าอานิสงส์ 2 อันนี้ส่งผลให้นายเจิญ และนายธนินทน์ เจียวรานนท์ ยังคงเป็นเศรษฐีอยู่ทุกวันนี้ นี่คือสิ่งทีเราทำไป แต่ว่าตัวเราเอง เราถวายให้ท่าน สมัยที่ไอเอ็มเอฟเข้ามา ตอนนั้นหนังสือพิมพ์ผู้จัดการเงินไม่มีเลย เจ๊งกะบ๊งหมดทุกอย่างมีทองคำแท่งอยู่ในกล่องประมาณ 20 แท่ง ก็เลยคิดถามอาจารย์ปุ๊ครับเอาไงดี ขายได้ตอนนั้นก็คง 3-4 ล้านบาทมั้ง ช่วงนั้น ยุค 2541 เยอะนะ 3-4 ล้าน แต่ตอนนั้นหลวงตากำลังทำแคมเปญโครงการทองคำช่วยชาติ เลยบอกอาจารย์ปุ๊ว่า นั่นมันของนอกกาย เห็นด้วยมั้น งั้นไปกราบท่านที่กุฏิวัดบ้านป่าบ้านตาด ขึ้นไปถวายท่าน กราบเลย ยื่นให้ท่าน ท่านบอกเปิดดู ท่านเห็นทองคำแท่ง ท่านก็มองเฉยๆ ท่านไม่พูดสักคำเลยนะ ท่านบอกเออดี ท่านพูดแค่นี้ แล้ว อ.ปุ๊ เค้ากำลังนั่งคิดอะไรของเขาอยู่ไม่รู้ เงียบ ท่านก็เทศน์อะไรไม่รู้เป็นชุดเลยนะ ก็มีคนนั่งอยู่บนกุฎิท่านประมาณ 4-5 คนเอง เพราะท่านค่อนข้างจะเลือกสรรคนที่จะขึ้นไปกุฏิท่าน ใครจะไปหาท่าน พระเลขาฯต้องไปกราบเรียนท่านก่อนว่าคนนี้จะมาพบ ถ้าท่านไม่อยากให้พบท่านก็บอกว่าเออ เราไม่เจอคนนี้ พอท่านเทศน์จบ เชื่อมั้ย ท่านหันไปหาอาจารย์ปุ๊ ท่านบอกว่า พอใจรึยัง คืออาจารย์ปุ๊เขาตั้งจิตอธิษฐานอยู่ภายในใจขอให้ท่านเทศน์ให้ฟังหน่อย นี่เป็นเรื่องตลก เสร็จเรียบร้อยแล้ว วันรุ่งขึ้น หลวงตาท่านจะมา พอท่านอายุมากแล้วท่านก็จะไม่เดินบิณฑบาตแล้ว ท่านจะมาที่ศาลาฉันเลย ท่านก็นั่งในที่ของท่าน ท่านก็จัดอาหาร จัดใส่บาตร คนส่งอาหารมาท่านก็ใส่บาตรของท่านปั้บๆ ใส่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านก็เริ่มเทศน์ ท่านเทศน์เรื่องความไม่ตระหนี่ ท่านบอกคนที่ไม่ตระหนี่ ทำงานเพื่อชาติ ทำงานเพื่อศาสนา ทำงานเพื่อพระมหากษัตริย์ คือคนที่ทำงานให้แผ่นดิน ผมจำคำพูดท่านได้ตลอด ผมถึงใช้คำพูดท่านมาหลายครั้งในการที่จะขึ้นเวที ผมจะบอก ท่านเป็นคนพูดเลยบอกว่า เมื่อทำงานให้แผ่นดิน แผ่นดินนี้มันศักดิ์สิทธิ์ ให้ทุกคนจำเอาไว้ พระมหากษัตริย์เรา ฌานของพระองค์ท่านยิ่งกว่าพระอรหันต์อีก แล้วชาติประกอบด้วย ศาสนา และพระมหากษัตริย์ แอนจำได้มั้ยผมเคยพูด นี่ล่ะผมเอามาจากท่าน ถ้าศาสนาอ่อนแอ พระมหากษัตริย์จะอ่อนแอ ถ้าพระมหากษัตริย์อ่อนแอ ศาสนาจะอ่อนแอ และจะไม่มีชาติ ท่านพูด เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้ามีเหลืออยู่ เอามาถวาย ไม่ต้องไปเสียดาย อย่าไปหวง ของไม่มีเดี๋ยวมันมาเอง ถวายแล้วบุญกุศล อานิสงส์จะสูงส่ง ท่านบอก หนึ่ง จะไม่มีวันตกทุกข์ได้ยาก สอง จะไม่มีวันตายโหง ท่านพูด ท่านเทศน์ของท่านหมด ความที่ผมเป็นคนที่ไม่เคยเสียดายของ เหมือนกับที่ผมขายโรงแรมไป
คนที่เคยไปวัดป่าบ้านตาด จะจำได้ ศาลา สมมุติว่าอยู่ตรงนี้ หลวงตาท่านจะนั่งตรงนี้ ประชาชน ลูกศิษย์ก็จะนั่งเป็นแถวไปเลย นั่งฟังท่านเทศน์ ระหว่างท่านฉันนะ ทุกคนจะนั่งไปด้วย ส่วนข้างหลังท่านจะเป็นถนนโรยหิน แล้วก็จะมีเพิงเก่าๆ ซึ่งจะเป็นคนซึ่งจะไปนั่งข้างหลัง ผมนี่จะนั่งข้างหลังประจำ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ก็ถือว่าเป็นลูกศิษย์หลวงตา แต่ พล.ต.อ.ประชา มาทีไรต้องขอไปนั่งข้างๆ หลวงตา เพราะว่ามีทีวีถ่าย จะได้เห็นว่าเป็นลูกศิษย์หลวงตา แต่ผมนี่ไปนั่งข้างหลังเลย แต่แปลก ท่านแปลกมาก พอท่านทานเสร็จ ของข้าวก้นบาตรท่านจะยกให้พระอาจารย์จิ๋ว หรือพระอาจารย์น้อย สมัยก่อน สมัยก่อนท่านมีพระเลขาฯ พระอาจารย์น้อย ตอนหลังพระอาจารย์น้อย ท่านไล่ออกจากวัด เหตุผลที่ไล่ท่านบอกว่า ไปปฏิบัติธรรม ไปฝึกตนเอง แล้วก็พระอาจารย์จิ๋ว ท่านจะยกบาตร แล้วบอกว่าเอาไปให้สนธิเขากิน พูดอย่างนี้เลยนะ พระอาจารย์น้อย พระอาจารย์จิ๋ว ก็จะเอาข้าวก้นบาตรใส่ในจาน แล้วก็มีทั้งน้ำ ยาคูลท์ ที่เขาถวายท่าน ส่งมาให้ พวกเราก็ปูเสื่ออยู่ข้างหลัง ผมก็นั่ง ท่านวิ่งเข้ามาบอกว่า คุณสนธิ หลวงตาให้ข้าวก้นบาตรมา คนรอบตัวเลยนะ ข้าวก้นบาตรของหลวงตานี่นะ สุดยอด คนมองกันตาเป็นวาวเลยนะ
แอนเชื่อมั้ย ผมหยิบส้มลูกหนึ่ว แล้วผมก็เอาข้าวก้นบาตรทั้งหมดแจกคนกินหมดเลย แย่งกันใหญ่เลย เพราะว่าเราคิดว่าใจเราอยู่กับท่าน ฉันได้ทานของท่านหรือไม่ได้ทาน เราเคารพนับถือบูชาท่าน ท่านอยู่กับเราตลอดเวลา ท่านไม่เคยไปไหน นี่คือความไม่หวงของไง ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แล้วไม่มีใครรู้นะผมมีของหลวงตาเยอะมาก เพราะว่าจะมีเณรองค์หนึ่ง นี่คุยทุกเรื่องกับสนธิ คุยได้ใช่มั้ยเรื่องนี้ สนใจจะฟังหรือเปล่า
จินดารัตน์ - รู้แล้วว่าคุณสนธิจะพูดถึงอะไร เลยได้ยินมา
สนธิ - เณรหลง เป็นเณรไทยใหญ่ เป็นคนบ้านเดียวกับเจ้ายอดศึกไม่ชอบพม่า พวกนี้พวกสู้พม่า และบวช หลวงตาช่วยไทยใหญ่เยอะ ท่านจะส่งอาหารเป็นรถเลย 10 ล้อขึ้นไปทางเชียงใหม่ ส่งให้กับชาวไทยใหญ่ ข้าวของอาหารแห้งส่งให้ตลอดเวลา ท่านรักเจ้ายอดศึกเคยมากราบท่าน พวกไทยใหญ่เขาจะเคารพนับถือใครรู้ไหม สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เพราะเป็นคนปราบพม่าไง เพราะพม่ากับไทยใหญ่ไม่ถูกกัน เณรหลงจะเป็นคนที่คอยทำความสะอาดห้องนอนของหลวงตา เก็บกวาด และอยู่มาวันหนึ่ง จู่ๆ เณรหลงเอาจีวร ผ้าสบงเอามาที่ท่านจะทิ้งแล้วพับมา และเณรหลงจะถือมา คุณสนธิของหลวงตา คุณเอามาได้อย่างไร ผมหยิบมา หลวงตาถามบอกเอาไปไหน เณรหลงบอกหลวงตาจะทิ้งแล้ว บอกทิ้งแล้วจะเอาไปให้ใคร บอกคุณสนธิครับ ท่านบอกเออเอามาให้ได้ ไม่งั้นท่านไม่ให้ เสร็จแล้วเสื่อที่ท่านปูนอน พรมนะพอเก่าแล้ว ทุกคนจ้องจะหยิบหมด เณรหลงความที่คอยรับใช้ พับก่อนเพื่อนเลย แล้วส่งมาให้ผม แล้วหลวงตาจะถามตลอดเวลา เอาไปไหน เอาไปให้ใคร พอบอกคุณสนธิบอก เออ
จินดารัตน์ - หลวงตาจะรับรู้ทุกครั้ง
สนธิ - เพราะท่านรู้หมด และทีนี้มีอยู่ครั้งหนึ่งคือ เวลาพ่อแม่ครูอาจารย์สมัยก่อน ไม่ว่าจะเป็นหลวงปู่ฝั้น หลายองค์ที่มรณภาพไปก่อนหลวงตา หลวงตาจะไปงานศพ พอไปงานศพบนเมรุจะมีอัฐิธาตุ อัฐิธาตุคงไม่ใช่กระดูก เป็นพวกขี้เถ้าอะไรพวกนี้ ที่เหลือ เณรหลงจะมีหน้าที่เก็บ ตามหลวงตาไปเก็บ เก็บเอาไว้เป็นถังเลย และจู่ๆ เณรหลงนึกอย่างไรไม่รู้ เขาไปทำพระเอาอัฐิธาตุไปทำ ไปเป็นธาตุหลวงตามหาบัวกลมๆ คล้ายธาตุองค์จตุคามอย่างนี้ แต่ปั๊มเป็นรูปหลวงตา ทำเองด้วยมือ และข้างหลังจะมีฝังเม็ดข้าวก้นบาตรหลวงตา สารเสก จีวรหลวงตา ฝังส่วนหนึ่งของยันต์ที่ทำอย่างเช่น ยันต์หลวงปู่ฝั้นก็มี และมีวันหนึ่งผมไป ผมไปบวชไง พอบวชจบวันที่ผมสึก พระอาจารย์ติ๋วสึกให้จำได้ เณรหลงบอกว่า พ่อๆ เรียกพ่อ ผมมีของดีให้ เอาองค์หลวงตามา และบอกผมทำเอาไว้ชุดหนึ่ง เอาไว้ให้พ่อไปแจก
จินดารัตน์ - เป็นรุ่น Limited
สนธิ - รุ่น Limited ไม่ๆ และเขาบอกเลยนะ ผมทำเสร็จแล้วผมเอาไปไว้ในห้องหลวงตา และเอาพวกยันต์ต่างๆ เหรียญต่างๆ ที่พ่อแม่ครูอาจารย์ให้ เหรียญหลวงปู่ฝั้น เหรียญหลวงปู่ขาว เหรียญหลวงปู่ชอบ ฐานสโม พระอรหันต์ทั้งนั้นที่เขาแจกเหรียญมา และเอามาหลอม และทำเป็นพระยอดธง และใส่ทั้ง 2 อัน ใส่อยู่บาตร 2 บาตร และวางไว้ในห้องต่างๆ 1 พรรษา หลวงตานอนมีบาตรซุกอยู่ตรงมุมห้อง เอาพลังท่าน ท่านรู้ไม่ใช่ท่านไม่รู้ แต่ท่านเฉย และเสร็จเรียบร้อย พอถึงเวลาเณรหลงไปยก บอกหลวงตาให้หลวงตาเมตตาหน่อย เอาไปให้ใคร ให้สนธิครับ เออ ท่านเอามือท่านคน ท่านหลับตาท่านเอามือท่านคน 2 อันเลย ทีนี้พอเสร็จก็ไป เณรหลงบอกผมมีทีเด็ดให้พ่อ เอาพระยอดธงทั้งบาตรเลยให้ผม พระแย่งกันใหญ่เลย ขอกันใหญ่เลย ผมได้มาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เณรหลงทำมาให้องค์หนึ่ง เป็นพระยอดธงทองคำ เดี๋ยวจะเอาลงมาให้ดู เสร็จเรียบร้อยแล้วอันกลมๆ นี่บอก ของพ่อ ทีเด็ดนะ ทีเด็ดอย่างไร พลิกไปข้างหลัง บอกว่า มียันต์หลวงปู่ฟั่นอยู่ จีวรหลวงตา มีข้าวหลวงตา มีขนเพชรหลวงตาอยู่ด้วย คนทำความสะอาดเตียงท่านที่นอนท่านไง ก็เลยเจอขนเพชร ก็เลยเอามาฝังอยู่ในเหรียญของท่าน ผมหัวเราะเกือบตายเลย ผมก็พุทธคุณสูงสุดแล้ว ไม่มีอะไรเหลือน้อยไปกว่านี้อีกแล้ว นี่คือที่มา คือพอเราไปเห็นพ่อแม่ครูอาจารย์ตั้งแต่หลวงพ่อยาแล้ว ที่หนองบำลำภู แล้วมาหลวงตามหาบัวพระป่า เป็นพระอริยสงฆ์ พระอรหันต์ เราเห็นแล้วว่า ท่านไม่ต้องการอะไรเลยนะในชีวิต ทุกอย่างท่านทำไว้หมดเลย ใครจะถวายรถท่านนะ ท่านแจกโรงพยาบาลหมด แล้วเวลาท่านฉันตอนเช้า เสร็จคนมาเต็มเลย หมอมาเต็ม จากโรงพยาบาลอุบลราชธานี จากโน้นนี้มาขอเครื่องเอ็กซเรย์ท่านจัดให้หมด เงินทองนี่มาถึงท่านนะ เท่าไหร่ท่านออกให้หมด ผมถึงบอกคนที่ว่าหลวงตามหาบัวเนี้ยนะ นรกกินหัว บุญคุณที่ท่านทำให้แผ่นดินไทย โทษนะ โคตรพ่อโคตรแม่โตรปู่โคตรย่าของไอ้คนที่มาว่าท่านนี่นะไม่ได้แม้แต่นิดเดียวกับสิ่งที่ท่านทำให้ชาติบ้านเมือง แต่ผมยังไม่เคยเห็นท่านโกรธใครนะ พูดไปก็จะหาว่าอคตินะ ท่านโกรธพรรคประชาธิปัตย์ตอนนั้น ที่จะเอาเงินคงคลัง
โอ้โห้ท่านบอกเลย รอบแรกตอนนั้นเลย ท่านเอยชื่อเลย ในส่วนตัวผม ไม่เอ่ยชื่อแล้วกันว่าใคร ท่านบอกว่า ไอ้พวกนี้จะลงนรกหมด ท่านพูดอย่างนี้เลยนะ มีชื่อด้วย แล้วมันจะจบไม่ดี เป็นอย่างนั้นจริงๆ ฉะนั้นผมถึงบอกแล้วไงว่า พอเราเรียนรู้มาแล้วเนี้ย สมบัติ ผมเรียนรู้ตั้งแต่ก่อนปี 48 แล้ว ก็เลยมีความรู้สึกว่า นุ้กเราเลยไม่เสียดายของ แล้วท่านก็จะพูดหน้าตาเฉย ท่านจะพูดตลอดเวลาว่า สวรรค์มีจริง นรกมีจริง ขอให้เชื่อหลวงตา ท่านพูดอย่างนี้ สวรรค์มีจริง นรกมีจริง ให้เชื่อหลวงตา เราจะไม่เชื่อได้อย่างไร เราบวชมาเราก็รู้ วันดีคืนดีท่านนั่งเทศน์อยู่ระหว่างที่ท่านฉันอยู่ตอนเช้า พอท่านฉันเสร็จท่านก็เตรียมล้างปากที่จะเทศท์ ท่านก็บอกว่าเมื่อคืนนี้ท่านท้าวสักกะลงมาหาเรา รู้มั้ยใครท้าวสักกะ พระอินทร์ มาคุยกับเรา เรื่องโน้นเรื่องนี้ ผมถึงเป็นคนที่เชื่อในเรื่องจิตวิญญาณ อันนี้ไม่ใช่เรื่องอวดอุตรินะ แต่เป็นเรื่องของคนที่สื่อจิตของตัวเองได้ เพราะฉะนั้นแล้วผมถึงบอกว่า สิ่งที่ผมได้ ผมได้จากธรรมะพระพุทธเจ้า และสิ่งที่ผมตัดสินใจสู้กับทักษิณ วันที่ผมไปที่ลี่เจียงวันนั้น จริงๆ แล้วนั่นคือการเริ่มเอาธรรมนำหน้าแล้ว แต่ตัวเองไม่รู้ตัว ให้พ่อแม่ครูอาจารย์มาบอก สนธิเอาธรรมนำหน้า ก็ยังไม่รู้ จนกระทั่งสู้มาได้สักพักหนึ่ง อ๋อ ใช่แล้ว นี่คือธรรม ทั้งหมดมันเป็นอย่างนี้
จินดารัตน์ - ธรรมจัดสรร
สนธิ - ธรรมจัดสรรจริงๆ
กรองทอง - คิดแล้ว ฟังไปแล้ว ทำไมนายเราถึงไม่ติดซีอีโอแห่งปีบ้าง ทำไมถึงเป็นประยุทธ์ จันทร์โอชา
สนธิ - อ๋อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซีอีโอเหรอ
จินดารัตน์ - ในภาครัฐค่ะ
สนธิ - อ๋อ จริงหรือเปล่า ตายล่ะ เดี๋ยวๆ เดี๋ยวผมมีของขวัญให้ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะซีอีโอแห่งปี
จินดารัตน์ - แอนจำได้ว่ามีอยู่วันหนึ่ง ตอนนั้นยังไม่รัฐประหาร เรากำลังสู้กับทักษิณ คุณสนธิเดินเข้ามาในที่ทำงานตอนเช้า มาคุยกับน้องๆ แอนก็เลยถามคุณสนธิว่า นายคะ สู้แล้วเราจะชนะได้อย่างไร เขามีทั้งเงิน ทั้งอำนาจรัฐ เราทั้งไม่มีอำนาจรัฐ และไม่มีเงิน คุณสนธิตอบแอน ไม่รู้คุณสนธิจำได้หรือเปล่า คุณสนธิตอบว่า ผมก็ไม่รู้นะ แต่ผมทำตามที่ผมเชื่อ แอนก็ไม่เข้าใจนะคะตอนนั้น เชื่อว่าอะไร มันจะชนะได้ยังไง เราก็มองหน้ากันเลิกลั่ก ว่าไม่มีทาง ไม่มีทางที่เราจะเอาชนะเขาได้เลย มองไม่เห็นทางเลย แต่ว่าพอคุณสนธิบอกว่า ผมทำในสิ่งที่ผมเชื่อ ไม่รู้นะ คือทำไปเพราะว่าเหมือนกับมีอะไรบางอย่างสั่งให้ทำแบบนี้ แอนก็ เอ้า เจ้านายมั่นใจแล้ว เราก็ต้องมั่นใจด้วยสิ
สนธิ - คือจริงๆ มันเป็นศรัทธา ถ้านุกกับแอน หรือท่านผู้ชมที่บ้านเชื่อในเรื่องอะไร แล้วเชื่อจริงๆ อย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่ใช่เชื่อเพราะว่าคนอื่นพูดมาให้ฟัง แต่เชื่อว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่ถูกต้อง เมื่อเราเชื่ออย่างนั้น เรามีศรัทธา เหมือนกับเรารู้จักเพื่อนคนหนึ่ง หรือเหมือนกับ ผมก็เชื่อและศรัทธาในตัวแอน กับนุก เช่นกัน กับเติมศักดิ์ กับเก๋ อุษณีย์ กับปานเทพ ทำไมล่ะ เพราะผมเชื่อว่าพวกคุณเป็นคนดี พวกคุณไมใช่เป็นคนที่เห็นแก่เงิน และพวกคุณก็ไม่ใช่คนที่เงินจะซื้อได้ เมื่อผมเชื่อ ผมก็ศรัทธาเช่นกัน นี่พูดตรงๆ ไม่ได้เล่นลิ้น ผมก็ศรัทธาในตัวแอน และศรัทธาในตัวนุก ศรัทธาในตัวเก๋ อุษณีย์ เติมศักดิ์ จารุปราณ ศรัทธาใน อ.ปานเทพ ศรัทธาในพี่ลอง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ผมศรัทธาจริงๆ เพราะฉะนั้นแล้วเมื่อความเชื่อ กับเกิดความศรัทธาขึ้นมาแล้ว เรารู้ว่ายังไงเราก็ไม่ผิด เพราะว่าสิ่งที่เราเชื่อ เราเชื่ออยู่บนพื้นฐานความถูกต้องก่อนไง เมื่ออยู่บนพื้นฐานความถูกต้องและเราศรัทธาแล้ว นั่นคือธรรม
ผมเคยพูดตลอดเวลาว่า ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ธรรมไม่สามารถจะอธิบายให้ได้ ผมเคยเห็นหลวงตาดุพระ พระระดับหลวงปู่นะ พระไปอยู่ที่วัดที่ท่านเป็นเจ้าอาวาส คนกลัวท่าน แต่นั่งอยู่หน้าหลวงตานี่เหมือนเด็กเลย หลวงตาดุ ท่านทำไมถึงอย่างนี้ ท่านทำไมไม่ปฏิบัติอย่างนี้ ท่านต้องปฏิบัติอย่างนี้ ท่านมัวแต่ไปหลงอยู่ในสมาธิ ท่านอยากจะตายในสมาธิหรืออย่างไร ท่านต้องมีปัญญา .. ท่านดุ ไม่เว้นเลย
สิ่งนี้มันก็ประยุกต์กลับมาหาผม หาพวกเราได้ เหมือนกับมีคนคอมเมนต์มา 2-3 บรรทัด คอมเมนต์อันนี้ผมอ่านแล้วผมหัวเราะ ผมถึงบอกคนไทยด้อยปัญญาเยอะ คุณสนธิ คุณเองควรจะรู้ตัวเองบ้าง คุณเที่ยวด่าทุกคนไปหมด มีแต่คุณดีอยู่คนเดียว คุณทำอย่างนี้ต่อไปปีหน้าทักษิณก็กลับมาอย่างแน่นอนที่สุด ผมก็เลยนึกว่า เอ .. คนที่เขียนคำพูดนี้มา กำลังบอกว่าให้ผมด่าทักษิณคนเดียว แต่ไม่ต้องด่าอภิสิทธิ์ใช่มั้ย หรือให้ผมด่าทักษิณ แล้วผมต้องไม่ไปแตะคนอื่นเลยใช่มั้ย ที่เขารัก มันไม่ใช่นี่ เพราะผมย้อนกลับไปคิดถึงที่หลวงตาท่านดุหลวงปู่ ท่านดุเพื่อให้ดี เราเชื่อในความถูกต้อง เพราะฉะนั้นแล้วใครมาเหยียดหยาม หรือเหยียบย่ำความถูกต้อง เราต้องสู้กับคนๆ นั้น ไม่ว่าคนๆ นั้นจะหน้าตาเป็นยังไง จะมีชาติตระกูลยังไง เราต้องสู้กับเขา เพราะเรายึดอยู่บนความถูกต้อง และที่สำคัญคือ ทำไมเราจะต้องไปรู้ตัวเราเอง เราไม่ได้มีตำแหน่งอะไรนี่ เข้าใจมั้ย เราสู้ เราไม่ได้อะไรขึ้นมานี่ เราได้แค่พ่อแม่พี่น้องซื้อเครื่องทำน้ำด่าง
จินดารัตน์ - แอนก็เชื่อว่าพี่น้องพันธมิตรฯ มีความเชื่อและศรัทธาในตัวแกนนำด้วย ถึงมีวันนี้
สนธิ - ผมว่าพี่น้องศรัทธาพวกเราทุกคน ไม่ใช่เฉพาะแกนนำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศรัทธาพนักงานเอเอสทีวี ที่กัดฟันแล้วต่อสู้กับความไม่ถูกต้อง และอดทน ที่สำคัญคืออดทน อดทนมากๆ ผมเชื่อว่าพี่น้องหลายคนเห็นใจ ทำไมครัวพันธมิตรฯ ถึงอยู่ได้ยั่งยืนยง ตอบผมสิ เพราะอะไร คุณรู้มั้ยว่าวันหนึ่งเขาต้องหุงข้าวกี่หม้อ หมูกี่กิโลฯ ไก่เท่าไร น้ำปลาเท่าไร เขาทำเลี้ยงคนเอเอสทีวี และหนังสือพิมพ์ ผมเห็นตอนเที่ยงคนหนังสือพิมพ์เดินจากฝั่งหนึ่ง บ้านพระอาทิตย์ ถือจานเปล่าไปนะ เดินข้ามถนนไปเข้าคิว เอาข้าวมา บางคน 2 รอบเพื่อเอากลับไปกินที่บ้าน กินที่คอนโดฯ ที่ตัวเองอยู่ คุณคิดว่าต้องใช้เงินเท่าไร พันธมิตรฯ ทั้งนั้น พันธมิตรฯ แม่ยกพันธมิตรฯ มาถึง จะรู้จักกับบุ๊ง เขาจะพูดชัดเจนเลยว่าบุ๊งเขาน่ารักมาก เขาบอกอาซ้อ ข้าวจะหมดแล้ว เออๆ เดี๋ยวอั๊วส่งมาให้ เดือนหนึ่งหลายแสนนะ แล้วผมถามคุณคำซิว่า มองย้อนกลับไป มีองค์กรไหน มีหนังสือพิมพ์ฉบับไหนมีอย่างนี้ได้บ้าง ไอ้หนังสือพิมพ์ส้นตีน โทษนะ ท่านผู้ชม ส้นตีนนี้อยากจะด่ามันไป มันรับเงินทักษิณมา เพื่อมาเขียนเชียร์น้องสาวทักษิณ และพรรคเพื่อไทย ขณะเดียวกัน เรานี่ข้าวเที่ยง พันธมิตรฯ ที่รักเรา รักพวกเอเอสทีวี เสียสละหลายคนมาเป็นแม่ครัวทำให้ทุกคน จนกระทั่งวันนี้ยังไม่เลิกเลย
จินดารัตน์ - แม่อ๋อยน้ำหนักลดไป 10 กิโลฯ แล้ว
สนธิ - ไปๆ มาๆ ทำไปทำมาชักจะติด ตื่นมาไปไหนไม่ได้ ต้องมาที่ครัวพันธมิตรฯ บางคนบอกว่าพอวันหยุด วันอาทิตย์แล้วเหงา แล้วโต๊ะกินข้าวข้างหลังนี่ก็จะเป็นที่ๆ พวกขาใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นแอน นุกเคยไปกินข้างหลังใช่มั้ย พวกพิธีกรไปนั่งข้างหลัง โสภณ องค์การณ์ เทิดภูมิ ใจดี ชัชชวาล ไปนั่งที่นั่นหมดเลย กินกัน แต่ตอนเที่ยงก็จะมีคิว ยืนตักอยู่ แอน อันนี้ซื้อกันด้วยอะไรได้มั้ย ไม่ได้ นี่คือน้ำใจ นี่คือความบริสุทธิ์ นี่คือความรัก นี่คือสุดยอด เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ไม่มีเอเอสทีวีจบจะไปด้วยเหตุใดก็ตาม เมื่อมองย้อนหลังไปสิ่งซึ่งพ่อแม่พี่น้องช่วยเรา น้ำตามันไหลข้างใน มันซึ้งไงแอน มันซึ้งจริงๆ และบุ๋งจะมีหน้าที่ตอนเที่ยงทำกับข้าวให้ชุดหนึ่ง ส่งมาที่บ้านพระอาทิตย์ เพราะผมจะนั่งกินกับพวกปานเทพ คนโน้นคนนี้ สุรวิทย์ วีรวรรณ พชร เพชร พวกนี้จะนั่ง และจะมี
จินดารัตน์ - หิ้วปิ่นโตเดิน
สนธิ - หิ้วปิ่นโตเดินตามเข้ามา เผลอเช้าๆ ไปไหมมาไม่รู้ เดี๋ยวจะมีคนหิ้วปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้เอามาให้อีก นี่คือพันธมิตรฯ แอนหาไม่ได้แล้วแอน ผมไม่รู้จะพูดอย่างไร
จินดารัตน์ - จนวันนี้แอนลืมไปแล้วว่า เฮียบุ๋งทำอาชีพอะไร
สนธิ - ไม่รู้
จินดารัตน์ - จนลืมหนูลืมไปแล้วว่า ก่อนมาเป็นพันธมิตรฯ เฮียบุ๋งทำอาชีพอะไร ลืมไปแล้ว แม่อ๋อยมีโรงงานไม่ใช่หรอ มายืนตักข้าวทุกวัน
สนธิ - มีโรงงานกันหมดทุกคน
กรองทอง - แล้วพนักงานเอเอสทีวี จะมีอุปกรณ์สำนักงานที่แตกต่างจากบริษัทอื่น คือเราจะมีจาน และช้อนส้อม คือถ้าไปดูโต๊ะพนักงาน
สนธิ - แล้วจานไม่ใช่จานแบนด้วย จานแบบจานน้ำแกง
กรองทอง - ไม่ต้องเดินหลายเที่ยวไง
สนธิ - เป็นชาม นี่ถ้าให้เอากะละมังมาได้เอากะละมังมาแล้ว
กรองทอง - เดี๋ยวโต๊ะไม่มีที่วางพอ คือโต๊ะทำงาน มันมีคอมพ์อยู่ด้วย ข้างๆ เป็นจาน
สนธิ - แล้วพอดีอย่างเช่น เครื่องทำน้ำด่างนี่เรื่องโดยบังเอิญ อาจารย์ปานเทพ อาจารย์แก่นฟ้า อาจารย์แก่นฟ้าเป็นคนซึ่งชำนาญเรื่องเครื่องทำน้ำด่างมาก และเป็นคนที่รู้เรื่องล้างพิษตับ De-Tox ชำนาญมาก อาจารย์แก่นฟ้า จู่ๆ เลยเล่าเรื่องน้ำด่างให้ฟัง อาจารย์ปานเทพความที่เป็นคนอยู่เฉยไม่เป็น อาจารย์ปานเทพเป็นคนที่ขี้สงสัย แกจะสงสัยไปทุกเรื่อง อย่าไปพูดอะไร แกไม่เชื่อคุณนะ แกต้องไปหาคำถามแกเองตลอดเวลา แกจบวิศวะ แล้วมาจบเอ็มบีเอ แกเลยไปศึกษาเรื่องเครื่องทำน้ำด่าง เริ่มจากฉี่ก่อน และค่อยมาเครื่องทำน้ำด่าง เสร็จแล้วแกพิสูจน์ชัดเจนว่า เครื่องทำน้ำด่างมันดีจริง น้ำด่างมันดีจริง ดีอย่างไรอย่างโน้นอย่างนี้ เลยเป็นที่มาของการเป็น เราคิดว่าพันธมิตรฯ ของเราน่าจะทานน้ำด่าง เพราะว่ามันดีต่อสุขภาพนั้นคือที่มาของการสั่งเครื่องทำน้ำด่างมาขาย และขายดีจนทุกวันนี้ แอนจำได้ไหม น้ำด่างที่เคยเอารูปออกทีวีที่ไปล้างลำไส้ ผมเคยสงสัยว่า มันล้างได้อย่างไร แต่ผมเชื่ออาจารย์ปานเทพ เชื่อการวิจัย ผมทานของผมทุกวัน สุขภาพผมดีสดชื่อ จนกระทั่งอาจารย์ปานเทพ 1-2 วันนี้ ทดลองมาให้ดู
จินดารัตน์ - เห็นบอกไม่หลับไม่นอนเลย
สนธิ - แอนอธิบายให้ฟังดีกว่า
จินดารัตน์ - จริงๆ อย่างที่เคยเอาภาพลำไส้ให้ดู เดี๋ยวไปดูอีกนิดก็ได้ว่า น้ำด่างทำไมหมอชินย่าที่ญี่ปุ่นถึงใช้รักษาโรคได้ 2 แก้วนี้เดี๋ยวจะเฉลยที่หลังว่า มันคืออะไร ไปดูกันก่อนว่า น้ำด่างประโยชน์ของน้ำอัลคาไลน์ ทำไมเราจะต้องดื่มน้ำด่างกัน อย่างแรกเลยร่างกายเราได้รับผลกระทบมากมายจากอาหารคะคุณสนธิ บางส่วนนอกจากไม่ถูกย่อยสลาย และยังเป็นอนุมูลอิสระด้วย ที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ ในร่างกายเรา เพราะอาหารบางอย่างมีฤทธิ์เป็นกรด อย่างเช่นน้ำผลไม้กระป๋อง น้ำอัดลม เนื้อสัตว์ เบียร์ กาแฟ ยาสูบ และทำให้ร่างกายสะสมกรดเอาไว้มาก อาจจะมาจากสาเหตุอื่นๆ การใช้ชีวิตการนอน การกิน การอยู่ เราจะมาดูว่า ประโยชน์ของน้ำด่างทำไมเราจะต้องดื่มน้ำด่าง อย่างที่บอกไปแล้วว่า ร่างกายเรามีฤทธิ์เป็นกรด น้ำด่างช่วยเจือจางความเป็นกรดในร่างกาย เอาแบบ Common Sense เลย พื้นฐานเลยกินด่างเข้าไปเพื่อจะลดความเป็นกรดในร่างกาย ทำให้เซลล์ภายในร่างกายเกิดความสมดุล สุขภาพดีทำให้ออกซิเจนในร่างกายสูง ช่วยให้กระบวนการสร้างพลังงานมาก และเร็วขึ้น ต้านอนุมูลอิสระ ล้างพิษในร่างกาย ทำความสะอาดลำไส้ได้ดี อย่างหนังสือที่เป็นคู่มือการอบรมโครงการฟื้นฟู และส่งเสริมสุขภาพองค์รวม 8 อ.ของสันติอโศกที่ทำออกมา บอกไว้หมดเลยว่า ทำไมการล้างพิษตับจะต้องใช้น้ำด่าง มันเกี่ยวข้องกับเรื่องไขมันที่อยู่ในร่างกายด้วย จะให้คุณผู้ชมกลับไปดูภาพนิดหนึ่ง ที่คุณสนธิเคยเล่าให้ฟังแล้ว เอาภาพมาให้ดูด้วย เรื่องลำไส้อันนี้คือ เป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมากอายุ 52 ปี แกคอลเลสเตอรอลสูงมาก ในลำไส้จะมีพวกสารตกค้าง ไอ้พวกนี้พวกไขมันเกาะ และเป็นเมือก น่ากลัว ไอ้ก้อนๆ เราสงสัยว่ามันคืออะไร และมันเกาะอยู่นานแค่ไหนไม่มีใครรู้ ปรากฏว่าหลังจากที่คุณหมอชินย่าให้ควบคุมการทานพืชผักผลไม้ให้มากๆ โดยดื่มน้ำด่าง 3 แก้วต่อวัน นี่ลำไส้กลายเป็นแบบนี้ ไอ้ก้อนๆ เมือกๆ ที่มันเหมือนไขมัน
สนธิ - ตรงนี้ที่ผมสงสัยไงว่า ทำไมน้ำด่างถึงล้างได้ อาจารย์ปานเทพเลยทำทดลองมาเป็นคำตอบ
จินดารัตน์ - การทดสอบน้ำมันกับน้ำด่าง การทดสอบที่คุณสนธิชี้ให้ดู คืออย่างที่เขาทำกัน เขาจะเทน้ำมันมะกอกลงแก้วทั้ง 2 แก้วคุณสนธิ
สนธิ - ทางซ้ายคุณผู้ชมคือ น้ำมันมะกอก ทางขวาคือน้ำมันมะกอกเหมือนกัน
จินดารัตน์ - เทลง และด้านขวาเขาจะเติมน้ำเปล่า แก้วทางขวาสังเกตที่เขาหยิบขวดมา
กรองทอง - คือน้ำธรรมดา
จินดารัตน์ - น้ำธรรมดาที่ไม่ใช่น้ำด่าง น้ำที่เราดื่มกัน สังเกตคุณผู้ชมสังเกตสี มันจะแยกชั้นน้ำมันกับน้ำ
สนธิ - จะแยกทันทีเลยให้เห็นว่า น้ำมันอยู่ข้างบน และน้ำอยู่ข้างล่าง ส่วนทางซ้ายเขาจะใส่น้ำด่าง
จินดารัตน์ - น้ำด่างที่ค่าความเป็นด่างสูงหน่อย ประมาณ 11.7 เติมลงไป เพื่อให้เห็นความแตกต่างชัดเจน คือน้ำมันกับน้ำด่างเป็นเนื้อเดียวกันเลย
สนธิ - มันผสมกันเหมือนนมเลย เป็นเนื้อเดียวกันเลย
จินดารัตน์ - เขาเลยบอกนี่ไง หมอชินย่าถึงใช้น้ำด่างเข้าไปสวนล้างลำไส้ D-Tox ให้กับผู้ป่วย เพราะว่าโมเลกุลมันเล็กมาก มันสามารถไปดึงพวกน้ำมันออกมาหมดเลย เพราะถ้าใช้น้ำเปล่าธรรมดามันแยกชั้น อย่างไงมันเอาออกมาไม่ได้อยู่แล้ว
สนธิ - คือทางขวาถ้าเราทานน้ำธรรมดามันจะแยกชั้นแบบนั้น แต่ถ้าเราทานน้ำด่างไปเรื่อยๆ มันจะล้างลำไส้ไปโดยปริยาย
จินดารัตน์ - แต่เวลาดื่มคือ ดื่มที่ค่าความเป็นด่างที่ระดับ 2 อันนี้เพื่อให้เห็นความแตกต่าง ให้เห็นว่า
กรองทอง - การทำงานไปล้างออกมาได้อย่างไร
จินดารัตน์ - การทำงานของด่างมันคืออะไร ถ้าดื่มน้ำด่างทุกวันเข้าไปจะช่วยชะล้างสิ่งเหล่านี้ ที่มันเกาะตามผนังลำไส้ออกมาด้วย อันนี้ทดสอบเอง อาจารย์ปานเทพทำเอง แก้วนี้คือน้ำด่างที่เทลงไปในน้ำมัน เห็นไหมคะ มันจะผสมกันแยกชั้นน้อยมาก แต่อันนี้คือน้ำเปล่า น้ำธรรมดาที่ไม่ใช่น้ำด่าง คนอย่างไงมันจะแยกชั้นกันเหมือนเดิม อันนี้ทำให้ดูว่า รู้แล้วเราได้คำตอบแล้วว่า ทำไมลำไส้เราถึงสะอาด
สนธิ - ตอนแรกผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่พอมาดูอันนี้แล้ว อ.ปานเทพ คือผมก็สงสัยนะ 2-3 วันที่แล้ว ผมเห็นแกนั่งอยู่ข้างล่าง นั่งหลับด้วยนะ แล้วข้างหน้าแกก็มีแก้วอยู่ 2 อัน ผมก็สงสัย อ.ปานเทพ แกเพี้ยนอะไรของแก แกกำลังนั่งพิจารณาคิดสูตรทางฉี่ผสมอะไรของแกหรือเปล่า สักพักอกบอกไม่ใช่ เป็นอย่างนี้ๆ แกอธิบาย ปกบอกเอาน้ำมันมะกอกเทเข้าไปแล้วแกเอาน้ำด่างเทเข้าไป แก้วหนึ่งๆ เอาน้ำเปล่าๆธรรมดา ก็เลยออกตามที่ให้เห็น
จินดารัตน์ - ก็คือคนสงสัย ซื้อน้ำด่างสงสัยไง ว่ามันจะไปล้างลำไส้ได้ไง แกเลยหาคำตอบมาให้ นอกจากดื่มน้ำด่างแล้ว คนที่ทำดีท็อกซ์ฝากมาบอกด้วยว่า ให้ใช้น้ำด่างระดับ 3 จากเครื่องเอาระดับ 3 มาแล้วไปผสมกับน้ำอุ่นคือน้ำร้อน เทผสมลงไปให้อุ่นๆ แล้วไปดีทอกซ์ เขาบอกว่าเริ่ดมาก ล้างได้สะอาดมาก เอามาให้ดูเพื่อที่จะได้เข้าใจมากขึ้นว่าทำไมต้องดื่ม
สนธิ - เดี๋ยวจะหาว่าทุกรายการทุกอาทิตย์ต้องมาขาย แไต่ไหนๆก็ไหนๆแล้วถ้าอยากจะสั่กง็โทรไปได้ 02 633 5353 รับถึงเที่ยงคืน ของมีน้อย ใครจองก่อนเอาเงินไปจ่ายก่อนก็ได้ของทันที ตอนนี้น่าจะไปถึงมีนาคมแล้ว แต่ของทยอยมาแล้ว เริ่มได้แล้ว แล้วต้องแก้ข้อข้องใจอันหนึ่ง ผมเข้าใจว่ามีการคิดค่าส่ง ใครก็ตามที่ถูกคิดค่าส่งเดี๋ยวจะคืนเงินให้
จินดารัตน์ - คือตอนนี้อย่างนี้ค่ะ เท่าที่แอนสอบถามคอลเซนเตอร์มา เขาบอกว่า ค่าส่งในกรุงเทพฯ และปริมณฑลไม่คิด ส่งให้ฟรี แต่ต่างจังหวัดเขาต้องไปใช้บริษัทขนส่ง คิดค่าจนส่งเครื่องละ 600 บาท
สนธิ - ไม่มีนะครับมีองค์เดียว
จินดารัตน์ - ถามจริง ทำไมเณรหลงถึงรักคุณสนธิล่ะคะ ถูกชะตาหรืออะไรอย่างไร
สนธิ - เขาบอกว่าผมเป็นคนซึ่ง ตรงไปตรงมาไม่กลัวคน เขาบอวก่านิสัยเหมือนคนไทยใหญ่ที่ไม่กลัวพม่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เขานับถือคือจ้าวยอดศึก ใจถึง สู้พม่า
จินดารัตน์ - คุณสนธิไม่ได้บอกเณรหรือคะ ว่าตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง ทักษิณคิดผิดตั้งแต่แรกแล้วล่ะ
สนธิ - ทักษิณ ชินวัตร ไปมองคนที่สู้เขา จริงๆเขาก็มองไม่ผิดนะ คนส่วนใหญ่ ถ้าสู้แล้วต้องเปลืองตัว นับประสาอะไรกับหมดเนื้อหมดตัวด้วย แล้วมีโอกาสตายด้วย จะวิ่งหนี แอบอยู่ข้างหลังคน รอให้ใกล้ชนะ หรือรอให้ชนะแล้วค่อยโผล่หน้าออกมา อันนี้ตำหนิใครไม่ได้เป็นนิสัยจริงๆ นิสัยคนทั่วไปด้วย แต่ถ้ามีคนอย่างนี้ไปหมด โดยไม่มีคนบ้าระห่ำบ้าง โลกนี้สังคมนี้หลายๆแห่งในโลกนี้คงไม่มีการเปลี่ยนแปลง คนที่มีอำนาจเผด็จการหรืออำนาจบาตรใหญ่มันก็ยังคงอยู่ต่อไป
จินดารัตน์ - คุณสนธิก็เลยทำให้รู้ว่าตายเป็นตายเจ๊งเป็นเจ๊งอีกเยอะเลย งั้นเดี๋ยวเราพักกันก่อนนะ
กรองทอง - เดี๋ยวช่วงหน้ามีอีกหลายเรื่อง หลายคนคงอยากจะรู้ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะทำประชามติ ตัวแปรที่สำคัญคือประชาธิปัตย์ เดี๋ยวเราจะมาดูคำพูดของหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เขาว่ากันอย่างไร แล้วของขวัญที่คุณสนธิจะมอบให้ซีอีโอแห่งปีคืออะไร
จินดารัตน์ - เดี๋ยวกลับมาฟังคุณอภิสิทธิ์พูด เตรียมทิชชู่ไว้นะคะ จะกลั้นน้ำตาแทบไม่อยู่เลย
กรองทอง - อ๋อ นึกว่าจะเช็ดน้ำลาย
จินดารัตน์ - พักกันสักครู่ค่ะคุณผู้ชม
คลิก! อ่านต่อ