หัวหน้าภูมิใจไทยแนะรัฐบาลแก้รัฐธรรมนูญรอบคอบ ไม่ล่อแหลม ยอใหญ่! เชื่อตั้งใจทำสิ่งที่ดีกว่า หนุนรื้อ ม.190, 237 ลั่นพร้อมแก้ ม.309 เพื่อส่วนรวม หลิ่วตา “นช.แม้ว” ได้อานิสงส์ทำในสิ่งดี ขุดคำพระ! เวรต้องระงับไม่จองเวร เชื่อต้องเซตซีโร่เหมือนคอมพ์ ขอเชื่อมปรองดอง
วันนี้ (19 ธ.ค.) ที่หมู่บ้านธนาซิตี้ ถ.บางนา-ตราด นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากและสำคัญที่สุดสิ่งหนึ่งที่รัฐบาลต้องแบกรับไว้ ดังนั้นกลไกต่างๆ ของรัฐบาลต้องทำอย่างระมัดระวังรอบคอบ ไม่ทำอะไรที่ล่อแหลม เชื่อว่าความตั้งใจของรัฐบาลในการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องการทำให้สิ่งที่ดีกว่านี้เกิดขึ้นในประเทศของเรา
เมื่อถามว่า สิ่งที่ไม่ต้องการให้รัฐบาลทำอะไร “ล่อแหลม” หมายความว่าไม่ต้องการให้ยุ่งกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มากไปหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า พูดถึงทุกเรื่อง ทั้งการทำงานอย่างซื่อสัตย์สุจริต คิดถึงผลประโยชน์บ้านเมืองประชาชนเป็นที่ตั้ง การถวายจงรักภักดีต่อสถาบัน การทำให้ประเทศไทยไม่เป็นรองใครในการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เช่น กรณีมาตรา 190 ที่ต้องกลับมาให้รัฐสภาให้ฉันทานุมัติ เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะเป็นเรื่องของผู้บริหารประเทศที่ประชาชนยอมรับเลือกเข้ามา ดังนั้นจึงมีสิทธิ์เจรจาความต่างๆ ให้เกิดผลประโยชน์ต่อประเทศ การเจรจากับคู่ค้า คู่กรณี ถ้าอีกฝั่งทราบว่าเราไม่มีสิทธิ์สรุป เราก็จะเสียเปรียบด้านเจรจา ตรงนี้เป็นเรื่องของรัฐบาลไม่ใช่รัฐสภา นอกจากนี้เห็นว่าควรมีการแก้ไขในมาตราที่เกี่ยวข้องกับการเมือง อาทิ มาตรา 237 การยุบพรรค การรับผิดของคณะกรรมการบริหารพรรคอาจจะคงเอาไว้ แต่ลดหย่อนตามความผิดของแต่ละคน
เมื่อถามว่า มีหลายฝ่ายกังวลต่อการแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 309 เพราะอาจจะเอื้อประโยชน์ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ นายอนุทินกล่าวว่า ในนามพรรคภูมิใจไทย ถ้าถามหัวหน้าพรรคในเรื่องมาตรา 309 อะไรก็ตามที่ทำแล้วดีขึ้น ทุกคนมีความสุข ไม่ต้องห่วงกังวล เดินตามท้องถนนได้โดยไม่ต้องระวังหน้าระวังหลัง พรรคภูมิใจไทยในยุคที่ตนบริหารอยู่ก็จะทำ อาจจะถูกโจมตีบ้างจากบางกลุ่มบางส่วน แต่ถ้าส่วนรวมเห็นด้วยเราก็พร้อมที่จะมีส่วนร่วมในการทำสิ่งที่ดี
“ผมได้อยู่ในช่วงที่ประเทศไทยมีความยิ่งใหญ่ มีความมั่นคง สังคม การเมือง ความเป็นประเทศ ไปที่ไหนได้รับการยอมรับได้รับการยกย่อง นำเอาไปเป็นตัวอย่างการพัฒนาประเทศ ผมเข้ามาในวงการเมืองในช่วงที่ประเทศไทยเป็นเช่นนั้น และคิดถึงวันนั้น คิดว่ายังไม่สายเกินไปที่พวกเราสามารถช่วยกันทำให้เมืองไทยของเรากลับไปสู่สภาพแบบนั้น ทั้งนี้ประโยชน์ที่จะได้ต้องเป็นประโยชน์ส่วนรวม แต่หากมีคนใดคนหนึ่งได้รับอานิสงส์ด้วย ถือว่าเราได้ทำในสิ่งที่ดี และต้องระงับเวรด้วยการไม่จองเวร ถ้ามีแต่ทิฐิการเจรจาให้เกิดความปรองดองคงไม่ได้ ถ้าไม่นับ 1 มันก็ไป 2-3-4 และไปสู่จุดหมายไม่ได้ บรรยากาศของความปรองดองเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ถ้าคู่กรณีไม่ต้องการความขัดแย้ง แล้วต้องการปรองดองจริงๆ คนที่อยู่ในภาคการเมืองที่เป็นผู้นำประเทศ ผู้นำองค์กร อยู่ไม่ถึง 30-40 ปี จะเกลียดชังขัดแย้ง มีความรุนแรงกันไปเพื่ออะไร นำให้เกิดการต่อต้านเหมือนกับไปเพิ่มเชื้อไฟเข้าไปอีก ไฟกำลังจะมอด ก็เติมเข้าไปอีก พรรคภูมิใจไทยเชื่อการเซตซีโร่ (Set Zero) เหมือนคอมพิวเตอร์แฮงก์ กดแล้วเริ่มใหม่ คีย์ข้อมูลสิ่งดีๆ เข้าไป ให้ทุกภาคส่วนคำนึงถึงว่าบ้านเมืองของเราถอยหลังมา 6 ปี แล้ว น่าจะพอแล้ว ไม่มีเวลาที่จะถอยไปอีกแล้ว” นายอนุทินกล่าว
เมื่อถามว่า ในเรื่องความปรองดอง มองว่าฝ่ายใดต้องเป็นฝ่ายเริ่มต้น นายอนุทินกล่าวว่า ทุกฝ่ายต้องเริ่ม ถ้ายังคิดว่าการต่อสู้สาดโคลนไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ถ้ายังไม่สามารถเริ่มกันได้ ต่างคนต่างมีฟอร์ม ถ้าพรรคภูมิใจไทยไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าพรรค รองหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค ประธานที่ปรึกษาพรรค คิดว่าใครมีประโยชน์ ก็พร้อมที่จะเป็นสะพานเชื่อมให้เกิดการปรองดองขึ้นได้ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคู่กรณีจะยอมให้เรามีบทบาทหรือไม่