“เหลิม” จ่อนั่งจับเข่าครูใต้คุยมาตรการ รปภ. จี้ฝ่ายปกครองร่วมมือมากขึ้น ปูดพวกค้าน้ำมันเถื่อนหนุนป่วน ยันเจ้าหน้าที่ไม่ได้ต้องการให้ รมต.ลงพื้นที่ เชื่อ “มาร์ค-เทือก” ไปดีเอสไอไม่มีปะทะแดง ย้ำไม่ใช่เรื่องการเมือง บอกไม่หาเรื่องใส่ตัวให้ติดคุก ชี้แก้ รธน.เริ่มคลี่คลาย
วันนี้ (12 ธ.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 10.30 น. ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กปต.) ที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ถึงมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยของครูในจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า หลังจากนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ตนมีภารกิจในดูแลงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้มากขึ้น ตนจึงต้องมีส่วนคิดค้นว่าจะทำอย่างไร โดยคิดว่าจะต้องจับเข่าคุยกับครูว่าในมุมมองของครูคิดว่ามีข้ออ่อนข้อด้อยอย่างไร และในศูนย์ปฏิบัติการคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปก.กปต) ครูอยากให้ทหาร ตำรวจช่วยเหลือแบบใด ตอนนี้ต้องงดหลักการ แต่หาวิธีการที่ดีและเหมาะสมเพื่อสร้างความปลอดภัย
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้าไปดูแลครูในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างไร ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า ต้องทำได้เพราะเป็นหน้าที่ และทหารเองก็เต็มที่อยู่แล้ว ขณะที่ฝ่ายปกครองก็ต้องมาร่วมให้มากกว่านี้เพราะในพื้นที่ไม่มีใครรู้จักพื้นที่ดีเท่ากับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ปลัดอำเภอ ฝ่ายปกครองทำงานมีแต่เชิงบวก มีพระคุณแต่ไม่มีพระเดช ส่วนตำรวจมีพระเดช อย่างในระยะหลังมีการกวาดล้างน้ำมันเถื่อนค่อนข้างรุนแรง พวกแก๊งค้าน้ำมันเถื่อนก็บ้านแตกสาแหรกขาด ซึ่งตนไปได้หลักฐานมาว่ามีเรือลำหนึ่งที่ตำรวจยึดมาเป็นของกลางแล้วนำมาเป็นเรือที่ปราบปรามน้ำมันเถื่อน พวกนี้ก็ร้ายเลยหาเรือใหม่อีกลำมาลอกเลียนแบบเรือที่ตำรวจใช้อยู่ เราก็ดำเนินการแล้ว ซึ่งตอนนี้พวกค้าน้ำมันเถื่อนคือนายทุนส่วนหนึ่ง ยังไม่ถึงมุมอับแต่ลำบาก เลยมีการตอบโต้รุนแรง ทั้งนี้ เรือดังกล่าวอาละวาดอยู่ในพื้นที่ภาคใต้บริเวณ จ.สงขลา และกลุ่มดังกล่าวมีการเอื้อประโยชน์กับกลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่ เพราะหากไม่มีรายได้จะนำเงินที่ใดมาเคลื่อนไหว
รองนายกฯ กล่าวว่า สิ่งที่เจ้าหน้าที่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องการมี 3 อย่าง คือ 1. งบประมาณ 2. เครื่องมือ และ 3. สวัสดิการและขวัญกำลังใจ ไม่ได้ต้องการปรารถนาให้รัฐมนตรีลงไป ส่วนปัจจัย 3 อย่างข้างต้นนั้นวันนี้ก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป เพราะงบประมาณมีใช้หลายภาคส่วน
รองนายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการดูแลรักษาความปลอดภัยบริเวณกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในวันที่ 13 ธ.ค. ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) จะเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาว่า จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจไปดูแลรักษาความสงบ ซึ่งเชื่อว่าจะไม่มีการเผชิญหน้ากันของมวลชน เพราะกลุ่มคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ไม่ไป ส่วนบางส่วนที่เดินทางไปก็เป็นการแสดงออกทางสัญลักษณ์
ผู้สื่อข่าวถามว่า ญาติของผู้เสียชีวิตสามารถยื่นขอให้มีการควบคุมหรือไม่ให้ปล่อยตัวนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ได้หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า คงไม่ได้ เป็นดุลพินิจของพนักงานสอบสวน ทั้งนี้ตนไม่อยากพูดเรื่องนี้มากเพราะจะหาว่าเป็นเรื่องการเมือง ซึ่งไม่ใช่เรื่องการเมืองและจะตามมาอีกในลักษณะนี้ เนื่องจากคดีของนายชาญณรงค์ พลศรีลา คนขับแท็กซี่เสื้อแดงที่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 15 พ.ค. 53 เสร็จแล้ว
“ไม่ใช่เรื่องการเมืองหรอก ใครจะทำได้ เป็นเทวดามาจากไหนถึงไปเนรมิตให้คนตาย 99 ศพ ผมเข้าใจการสอบสวนจึงสั่งให้มีการสอบสวนชันสูตรพลิกศพ มันจึงพบข้อเท็จจริงดังที่ปรากฎ นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น สุดท้ายอาจจะไม่ผิดก็ได้ แต่ทางพรรคประชาธิปัตย์ต้องเลิกพูดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องการเมืองเพราะไม่ใช่ เรื่องนี้เป็นคดีอาญา หาว่าผมพูดแล้วนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอทำตาม ซึ่งนายธาริตได้รับการแต่งตั้งสมัยพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล หากอะไรที่ไม่ถูกต้องเขาจะกล้าหรือ แล้วธุระอะไรที่ผมจะต้องไปหาเรื่องใส่ตัวแล้วต้องมาติดคุกติดตะรางไม่เอา ผมไม่ทำหรอก” ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว
ร.ต.อ.เฉลิมยังกล่าวสั้นๆ ถึงปัญหาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 3 หลังก่อนหน้านี้มีความคิดเห็นที่หลากหลาย จนกระทั่งนายกฯ ให้สัมภาษณ์ว่าอาจจะต้องทำประชามติก่อนลงมติวาระ 3 ว่า “รัฐธรรมนูญคลี่คลายแล้วก็ดีนะ”
