อดีตนายกฯ ยันข้อหาสั่งฆ่าประชาชนไกลจากความเป็นจริง เพราะผู้ชุมนุมยึดใจกลางเมือง มีอาวุธ ปาระเบิดและยิงปืนใส่ โต้รายงานฮิวแมนไรต์วอตช์ เผยรายงาน คอป.มีตั้ง 20 คดีตายเพราะฝีมือผู้ชุมนุม ถามกลับถ้าไม่ใช้กระสุนจริงจะเอาอะไรไปสู้กลุ่มติดอาวุธ ลั่นเสียใจแต่ต้องป้องกันตัวเอง เชื่อประชาชนอีกมากรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น พร้อมพิสูจน์ความยุติธรรมในศาล หากพิพากษาผิดถึงประหารพร้อมยอมรับ
เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์บีบีซี ที่ประเทศอังกฤษ กรณีการสลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 โดยนายอภิสิทธิ์กล่าวว่า หลังการสลายการชุมนุมเสร็จสิ้นได้ตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ หรือ คอป. เพื่อสอบสวนการเสียชีวิตของผู้ชุมนุม รวมถึงตำรวจและกลไกในกระบวนการยุติธรรม
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ข้อกล่าวหาที่ว่าตนสั่งฆ่าประชาชนนั้นห่างไกลจากความเป็นจริง เพราะสถานการณ์ขณะนั้นผู้ชุมนุมได้ยึดสถานที่สำคัญใจกลางเมือง มีอาวุธ มีการปาระเบิดและยิงปืนเข้าใส่ประชาชน ซึ่งเราไม่ได้เข้าไปสลายการชุมนุม เพียงแค่ตั้งด่านตรวจและมถูกโจมตี เกิดการต่อสู้ตามท้องถนน โชคร้ายที่มีประชาชนเสียชีวิต ขณะเดียวกันยังปฏิเสธว่าผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่จากการยิงของทหาร แม้จะอ้างถึงรายงานของฮิวแมนไรต์วอตช์ที่ระบุว่าผู้เสียชีวิตเกือบทุกคนถูกทหารยิง แต่ก็มีรายงานที่ละเอียดที่สุดนั้นทำโดย คอป. และมีราว 20 กรณีที่ผู้เสียชีวิตเกิดจากการกระทำของฝ่ายผู้ชุมนุมซึ่งมีอาวุธ
“เรามีการสอบสวนอยู่ราว 20 กรณี เพียงแค่ 2 กรณีเท่านั้นที่มีการสรุปว่าเป็นการตายจากการถูกกระสุนปืนซึ่งใช้ในกองทัพ แต่ก็ต้องจำด้วยว่าผู้ชุมนุมได้ขโมยอาวุธจากกองทัพไป ในการจะกล่าวหาที่เจาะจงเช่นนี้ คุณต้องรู้เกี่ยวข้อหาที่ถูกแจ้งไว้เสียก่อน การแจ้งข้อหาต่อผมในขณะนี้ คือการเสียชีวิตของคนที่ไม่ได้เข้าร่วมชุมนุมเลยด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ มีรถตู้คันหนึ่งพยายามฝ่าแนวกั้นของทหาร จากนั้นจึงมีการยิงขึ้น ผู้ตายนั้นเพียงแต่ออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วก็โชคร้ายที่เขาถูกยิง แต่ถ้าจะพูดว่ารัฐบาลเป็นผู้สั่งทหารให้ฆ่าประชาชนก็ไม่ได้ตรงตามสิ่งที่เกิดขึ้นทีเดียว” นายอภิสิทธิ์กล่าว
เมื่อถามว่าการอนุญาตให้ใช้กระสุนจริงนั้น เสียใจต่อการตัดสินใจดังกล่าวหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ถ้าไม่ได้ใช้กระสุนจริงจะสู้กับกลุ่มคนที่ติดอาวุธได้อย่างไร ตนเสียใจที่มีผู้เสียชีวิต แต่ก็มีคำสั่งก็ชัดเจนว่าพวกเขาควรใช้กระสุนจริงอย่างไรภายใต้สถานการณ์แบบไหน คำสั่งซึ่งออกโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีนั้น เพื่อป้องกันตัวเอง เพื่อป้องกันการเสียชีวิตของประชาชนคนอื่น พวกเขาต้องใช้อย่างระมัดระวังสูงสุด
ทั้งนี้ ถ้ามีความเป็นไปได้ที่จะต้องใช้อาวุธต่อคนเหล่านี้ ที่บางครั้งก็ปะปนอยู่กับฝูงชน พวกเขาก็ควรหลีกเลี่ยง และถ้าการใช้คำสั่งนี้แปลว่าพวกเราสั่งให้มีการฆ่าคน ตนคิดว่าไม่ยุติธรรม เพราะอย่างกรณีการประชุมกลุ่มประเทศ G-20 ก็มีบางคนเสียชีวิตเพราะเจ้าหน้าที่พยายามปฏิบัติหน้าที่ของตน และก็ต้องมีการสอบสวน การมีผู้เสียชีวิตควรถูกตัดสินหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับกฎหมาย แต่ไม่มีที่ไหนที่นายกรัฐมนตรีจะต้องมารับผิดชอบกับปฏิบัติการใดๆ ก็ตาม
นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงที่ตนเองมีอำนาจว่า เป็นครั้งแรกที่เรามีการประท้วงโดยมีประชาชนที่มีอาวุธเข้าร่วม หากนี่เป็นการประท้วงโดยสันติ ภายใต้รัฐธรรมนูญ และถูกกฎหมาย สิ่งเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้น ถ้าพวกเขาไม่มีชายชุดดำซึ่งมีอาวุธ ยิงตำรวจ ยิงประชาชน ยิงทหาร ก็จะไม่มีการสูญเสียเกิดขึ้น และไม่คิดว่าจะเป็นปัญหาที่ผู้คนจะจดจำภาพในช่วงที่ตนดำรงตำแหน่ง พร้อมกับย้ำว่า จะต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ แต่หากศาลตัดสินว่ามีความผิดจริง ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ก็พร้อมจะยอมรับโทษ แม้ว่าจะเป็นโทษประหารชีวิตก็ตาม
“ผมคิดว่าประชาชนจำนวนมากรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นในปี 2552 และ 2553 และสิ่งที่แตกต่างก็คือ ในฐานะรัฐบาล เราเป็นรัฐบาลแรกที่อนุญาตให้ตำรวจ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และอัยการ และศาลทำงานในเรื่องนี้ และผมยอมรับไม่ว่าคำตัดสินจะออกมาอย่างไร แม้แต่จะเป็นคำตัดสินประหาร ผมก็จะยอมรับ และผมก็ขอให้อดีตนายกรัฐมนตรี (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) และสมาชิกในรัฐบาลชุดนี้ให้พวกเขาปฏิบัติตามเช่นเดียวกัน เพราะพวกเขาก็มักจะหาทางออกกฎหมายนิรโทษกรรมพวกเขาเองเสมอ ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ผมถามอยู่เสมอ ผมต้องการถูกฟ้องร้อง ผมจะต่อสู้ ผมจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในศาล และไม่ว่าเหตุผลใดก็ตามที่มีคำพิพากษาว่าผมผิด ผมก็จะยอมรับ” นายอภิสิทธิ์กล่าว