“ยิ่งลักษณ์” สั่งฝ่ายความมั่นคงสแกนสถานที่ปลอดภัย ก่อนยกโขยง รมต. ยกเว้น “เป็ดเหลิม” ลงจังหวัดชายแดนใต้ เดินหน้าพัฒนาสาธารณูปโภคเชื่อมเส้นทางไทย-มาเลเซีย ตามมติ ครม.สัญจร จ.ภูเก็ต พร้อมเยี่ยมให้กำลังใจประชาชน ครู ทหาร ตำรวจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 10 ธ.ค. แหล่งข่าวจากศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เปิดเผยว่า หลังสถานการณ์ความรุนแรงภาคใต้เกิดเหตุต่อเนื่อง โดยผู้ก่อเหตุลอบยิงและทำร้ายครูรายวัน จนโรงเรียนต้องประกาศหยุดการเรียนการสอน เพราะความไม่ปลอดภัยในชีวิตนั้น ล่าสุด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีบัญชาอยากเดินทางลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อพบปะเยี่ยมเยียนประชาชน ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยขณะนี้ได้สั่งให้ฝ่ายความมั่นคงเตรียมความพร้อมและสถานที่ที่จะลงพื้นที่ ซึ่งจะรับฟังบรรยายสรุปการแก้ไขปัญหาความไม่สงบภาคใต้ในช่วงที่ผ่านมารวมถึงการรับฟังปัญหาจากฝ่ายปฎิบัติงานในพื้นที่ด้วย
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า เบื้องต้นฝ่ายความมั่นคงเตรียมจัดสถานที่ที่ปลอดภัย จังหวัดยะลา ให้นายกรัฐมนตรีและคณะลงพื้นที่ในวันที่ 13 ธันวาคมนี้ แต่ไม่สามารถเปิดเผยว่าเป็นสถานที่ใด เวลาใด เพื่อความปลอดภัยของนายกรัฐมนตรีและคณะที่จะลงพื้นที่ โดยจะมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงฝ่ายความมั่นคง เดินทางไปพร้อมนายกรัฐมนตรี แต่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลภาคใต้คงไม่ร่วมลงพื้นที่ครั้งนี้ด้วย โดยก่อนหน้านี้ ร.ต.อ.เฉลิมให้เหตุผลว่าแม้ไม่ลงพื้นที่ก็สามารถสั่งการได้บนตึกบัญชาการทำเนียบรัฐบาล
แหล่งข่าวเปิดเผยอีกว่า นอกจากการลงพื้นที่พบประชาชนและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่แล้ว นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่อยู่ในคณะกรรมการบริหารภาคใต้ จะไปดูโครงการสร้างเส้นทางสาธารณูปโภคเชื่อมจากจังหวัดภาคใต้ไปยังประเทศมาเลเซียอีกด้วย สืบเนื่องจากการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่จังหวัดภูเก็ต ที่มีการเสนอเรื่องดังกล่าวเข้ามา ถือเป็นส่วนหนึ่งในนโยบายของรัฐบาลที่จะนำการพัฒนาลงสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้
อย่างไรก็ตาม หากฝ่ายความมั่นคงเตรียมความพร้อมเรียบร้อย นายกรัฐมนตรีและคณะพร้อมลงพื้นที่ทันที แต่หากฝ่ายความมั่นคงเห็นว่าไม่ปลอดภัย ความตั้งใจในการลงพื้นที่ภาคใต้ของนายกรัฐมนตรีและคณะคงต้องชะลอออกไปก่อน
