ปธ.วุฒิฯ อ้างบริหารเวลา เป็นเหตุใช้ห้องโถงสภาเลือกผู้ควบคุมตาม รธน.พ.ร.บ.กสทช. แทนห้องประชุมรัฐสภา ส.ว.ท้วงเรื่องความโปร่งใส “นิคม” แจงมีร้องศาล ปค.เรื่องไม่ผ่านคุณสมบัติ แต่ยังไม่ตัดสินลุยต่อได้ “สมเจตน์-สมชาย” จี้ทำลายบัตรลงคะแนนให้จริง “ทัศนา” แจงผู้สมัคร 72 คนขาดคุณสมบัติ 5 คน โดยผลเลือกตั้งคัดมา 10 คน ก่อนลงคะแนนลับ 23 พ.ย.ให้เหลือ 5 คน ส.ว.เล็งตั้ง กมธ.สอบคุณสมบัติผู้ที่รับเลือกซ้ำ
วันนี้ (19 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายนิคม ไวรัชพานิช ประธานวุฒิสภา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้เข้าตรวจสอบความพร้อมของพื้นที่ และคูหาลงคะแนนเลือกผู้สมัครเข้ารับการดำเนินการคัดเลือกเป็นกรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 (พ.ร.บ.กสทช.) รอบแรก ที่บริเวณห้องโถงอาคารรัฐสภา ก่อนที่จะให้ ส.ว. ลงคะแนนเลือกบุคคล ในเวลา 09.30 น. โดยการตรวจสอบดังกล่าวได้มีการตรวจสอบคูหาลงคะแนน และ หีบบัตร ด้วยการเปิดหีบบัตร ให้สื่อมวลชนและผู้สังเกตการณ์ได้ตรวจสอบว่าเป็นหีบเปล่า ไม่มีบัตรแปลกปลอมอยู่ในตู้ จากนั้นได้มีการปิดหีบ ใช้แม่กุญแจล็อคอย่างเรียบร้อย
จากนั้นนายนิคมได้แจ้งต่อ ส.ว.ผ่านที่ประชุมวุฒิสภาว่า สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ได้จัดให้มีการลงคะแนนเลือกกรรมการติดตามและประเมินผลงานของ กสทช.ตั้งแต่เวลา 09.30-11.00 น. และขอให้ ส.ว.ได้จัดสรรเวลาลงไปใช้สิทธิอย่างพร้อมเพรียง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมช่วงที่แจ้งวาระดังกล่าว ได้มี ส.ว.ลุกสอบถามถึงกรณีการใช้พื้นที่ห้องโถงอาคารรัฐสภา 1 เพื่อลงคะแนนเลือก แทนที่จะใช้ภายในห้องประชุมรัฐสภาเหมือนอย่างที่เคยปฏิบัติมา ทั้งนี้ได้ท้วงติงว่าอาจจะทำให้เกิดความไม่โปร่งใส และเสี่ยงที่จะถูกนำประเด็นไปฟ้องร้องเป็นคดีความได้ ซึ่ง นายนิคมชี้แจงว่า เหตุที่ได้ใช้พื้นที่อื่นจัดการเลือกตั้ง เพื่อเป็นการบริหารเวลาระหว่างการพิจารณาเรื่องตามระเบียบวาระและการลงคะแนนเลือกกรรมการติดตามและประเมินผลงานของ กสทช. ส่วนประเด็นเรื่องฟ้องร้องนั้นขณะนี้ทราบว่า นายสุทธิพร เดี่ยวพานิช ผู้สมัครเป็นกรรมการติดตามและประเมินผลงาน กสทช. ซึ่งไม่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติได้ฟ้องร้องอยู่ที่ศาลปกครองกลางแล้ว โดยศาลได้จัดไต่สวนในวันนี้ (19 พ.ย.) เวลา 10.00 น. เบื้องต้นหากศาลไต่สวนแล้วมีคำสั่งคุ้มครอง กระบวนการลงคะแนนเลือกกรรมการดังกล่าว ต้องยุติลง แต่หากศาลไม่มีคำสั่งใดๆ ออกมา ตนพร้อมจะเดินหน้าการลงคะแนนเลือกตั้งดังกล่าวต่อไป ทั้งนี้เมื่อการเลือกตั้งรอบแรกแล้วเสร็จและไม่เกิดปัญหา ตนจะนัดประชุม ส.ว.อีกครั้งในวันที่ 23 พ.ย. เพื่อให้เลือกกรรมการฯ ในรอบสุดท้าย ให้เหลือจำนวน 5 คน
ทั้งนี้ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว.สรรหา ได้ลุกท้วงติงว่า ไม่ทราบถึงประเด็นการเลือกตั้งกรรมการติดตามและประเมินผลงาน ของกสทช. นอกห้องประชุมมาก่อน ซึ่งจากการรับฟังคำชี้แจงนั้นระบุว่าเพื่อความโปร่งใสและไม่เสียเวลาการประชุม ทั้งนี้ตนมีประเด็นเรียกร้องในส่วนการทำลายบัตรลงคะแนนที่ทำโดยกรรมการอยากให้มีการทำลายจริงๆ เพราะในการเลือกเลขาธิการกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทั้งที่เป็นการลงคะแนนลับ แต่กลับพบว่ามีการพิมพ์ใบลงคะแนนของ ส.ว.มาเผยแพร่ ว่าใครโหวตอย่างไรบ้าง ดังนั้นขอให้ทบทวน อย่าคิดแค่ว่าเป็นการเรื่องเสียเวลาเท่านั้น เพราะประเด็นนี้ ส.ว.ได้รับหน้าที่มาดำเนินการแล้ว ขอให้ทำด้วยความรอบคอบ เช่นเดียวกับนายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ที่ขอให้มีการทำลายบัตรลงคะแนนต่อหน้า เพราะก่อนหน้านั้นมีคนมาพูดกับตนว่าทราบว่าตนได้ลงคะแนนลับให้กับบุคคลใดบ้าง จึงทำให้เห็นว่าการลงคะแนนลับไม่ใช่ความลับอย่างแท้จริง
จากนั้น นางทัศนา บุญทอง ส.ว.สรรหา ในฐานะประธานคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่จัดทำบัญชีรายชื่อและตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครเข้ารับการดำเนินการคัดเลือกบุคคลผู้สมควรได้รับการเสนอชื่อเพื่อนำเสนอให้วุฒิสภาพิจารณาคัดเลือกเป็นกรรมการติดตามและประเมินผล กสทช.รายงานการตรวจสอบว่า จากผู้สมัครเป็นกรรมการทั้ง 72 คน พบว่ามีผู้ที่ผ่านคุณสมบัติทั้งหมด 67 คน และมี 5 รายที่ไม่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติ ได้แก่ 1. นายเจตศักดิ์ บุญสุยา เพราะเป็นผู้ถือหุ้มบริษัท ทรู คอเปอร์เรชั่น จำกัด 2. นายชนัด เผ่าพันธุ์ดี เพราะถือหุ้นบริษัททีทีแอนด์ที 3. นายสุทธิพร ปทุมเทวาภิบาล เป็นกรรมการ จีเดด จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ประกอบกิจการโทรคมนาคม และไม่พ้นจากตำแหน่งเป็นระยะเวลา 1 ปีตามที่กฎหมายกำหนด 4.นายวุฒิพร เดี่ยวพานิช เป็นกรรมการบริษัทไอทีวี และ 5. พล.ต.ต.ภานุรัตน์ มีเพียร เป็นกรรมการบริษัทสหพัฒนพิบูลย์
หลังจากนั้นที่ประชุมได้ดำเนินการเพื่อลงคะแนนเลือกกรรมการติดตามและประเมินผลงาน ของกสทช.ต่อไป โดยบรรยากาศการลงคะแนนเป็นไปอย่างคึกคัก โดยมี ส.ว.เข้าคิวเพื่อใช้สิทธิจำนวนมาก จนทำให้ต้องเข้าแถวยาวตั้งแต่กลางห้องโถง จนถึงประตูทางเข้าอาคารรัฐสภา 1
ทั้งนี้ ผลการลงคะแนนของสมาชิกวุฒิสภา เพื่อคัดเลือกกรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 หรือการคัดเลือกซุปเปอร์บอร์ดในรอบแรก จำนวน 2 เท่า หรือจำนวน 10 คน จากผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมจำนวน 67 คน
ปรากฏว่าบุคคลที่ผ่านการคัดเลือกประกอบด้วย ด้านกิจการกระจายเสียง ได้แก่ พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก และน.ส.ลักษมี ศรีสมเพ็ชร กรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเชียงใหม่ หรือ กรอ.เชียงใหม่ ด้านกิจการโทรทัศน์ ได้แก่ นายพิชัย อุตมาพินันท์ ที่ปรึกษาคณะกรรมการกฎหมายสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และพล.อ.จิรเดช คชรัตน์ อดีตที่ปรึกษากรรมการบริษัทกิจการโทรทัศน์กองทัพบก ด้านกิจการโทรคมนาคม ได้แก่ นายอนันต์ วรธิติพงศ์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา สรรหา และนายอมรเทพ จิรัฐิติเจริญ นักวิชาการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร ด้านคุ้มครองผู้บริโภค ได้แก่ นายพันธ์ศักดิ์ จันทร์ปัญญา อนุกรรมการกิจการกระจายเสียง บริการธุรกิจ และนายประเสริฐ อภิปุญญา รองเลขาธิการสำนักงาน กสทช.และกิจการส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ได้แก่ พล.อ.บุญยวัจน์ เครือหงส์ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณกลาโหม และนายจเด็จ อินสว่าง อดีตปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
สำหรับขั้นตอนต่อไป ที่ประชุมวุฒิสภานัดพิเศษในวันที่ 23 พ.ย.นี้ สมาชิกวุฒิสภาจะทำการลงคะแนนลับในคูหา ซึ่งจะดำเนินการภายในห้องประชุมวุฒิสภา เพื่อคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมให้เหลือเพียง 5 คน ขณะเดียวกัน มีสมาชิกวุฒิสภาบางส่วนเห็นว่าสมควรตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อตรวจสอบคุณสมบัติและจริยธรรมของผู้ที่ผ่านการคัดเลือกจำนวน 10 คนอีกครั้ง ทำให้ต้องขอมติจากที่ประชุมวุฒิสภาต่อไป