อดีตพิธีกรรายการ “วอยซ์ทีวี” ช่องลูกทักษิณ เผยรายการ “ฮอต ทอปปิก” หลุดผังเหตุนโยบายเปลี่ยน ไม่เล่นข่าวการเมือง-ความขัดแย้ง แต่งตัวเข้าช่องรายการทรูวิชั่นส์ ชี้ชนวนเหตุให้พื้นที่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลมากไป ทั้ง ปชป.รวมทั้ง คอป.กรณีชายชุดดำ เผย “เอเชียอัพเดท” เคยชวนแต่ไม่ไป ลั่นไม่ใช่ “แดงเพื่อไทย-ทักษิณ” เตือนคนเสื้อแดงตรวจสอบผู้มีอำนาจ อย่าปกป้องจนลืมหลักการ
วานนี้ (10 ต.ค.) เว็บไซต์มีเดีย อินไซด์ เอาท์ ได้สัมภาษณ์นายจอม เพชรประดับ พิธีกรข่าว ถึงกรณีที่รายการฮอท ทอปปิก ซึ่งออกอากาศผ่านวอยซ์ทีวีตั้งแต่ปี 2554 ได้ถูกถอดออกจากผังรายการ โดยนายจอมเปิดเผยว่า เหตุที่รายการหลุดออกจากผังเพราะนโยบายของสถานีที่เปลี่ยนไป โดยจะไม่เล่นข่าวการเมือง ข่าวความขัดแย้ง และประเด็นที่แรง ถึงกระนั้นที่ผ่านมานายจอมได้กล่าวว่า ตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้าไปวอยซ์ทีวี ตนได้บอกว่าอย่าใช้ตนเป็นเครื่องมือทางการเมือง ขอให้ตนมีอิสระในการทำงานซึ่งเป็นข้อตกลงที่ตนได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริหาร ในช่วงที่พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้าน พอเป็นฝ่ายรัฐบาลแม้คนทำงานเบื้องหลังจะกระอักกระอ่วนใจ แต่ในส่วนของตนก็ต้องยืนอยู่ในจุดของหลักการที่คุยกันไว้
“อันนี้ต้องยอมรับ เขาไม่เคยมาส่งสัญญาณอะไร ว่าอย่าโน่น อย่านี่ อย่านั่น แต่ที่ส่งสัญญาณทันทีเลย ก็คือ ถอดเลย (หัวเราะ) แต่ผมก็เข้าใจหลักการอันหนึ่ง นอกเหนือจากข้อตกลงอันนั้นแล้ว จะไปว่าเขาก็ไม่ได้ในเมื่อเขาคิดว่าทิศทางของข่าวที่จะต้องดำเนินการต่อไปนี่ จะไม่เล่นข่าวการเมือง ไม่เล่นข่าวความขัดแย้ง ไม่เล่นประเด็นที่มันแรงๆ เมื่อเป็นอย่างนั้น ก็มีเหตุผลที่เขาจะเห็นว่ารายการเราเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกระแสประเด็นความขัดแย้งทางการเมือง เพราะฉะนั้น ในเมื่อเขาเปลี่ยนนโยบาย เปลี่ยนทิศทาง มันก็ต้องยุติ ถ้าพูดด้วยเหตุผล มันก็มีเหตุผล ไม่ได้ขัดหลักการต่อการเข้ามาแทรกแซงเสรีภาพเลย เพราะเขาให้เสรีภาพมาตลอด แต่เมื่อนโยบายเปลี่ยน มันก็ต้องเปลี่ยนวิธีการทำงาน ต้องเปลี่ยนคน เปลี่ยนรายการ อันนี้มันมีเหตุมีผลอยู่ ซึ่งผมเข้าใจได้” นายจอม กล่าว
• คาดเหตุรายการหลุดผัง “ให้พื้นที่ ปชป.มากไป”
นายจอมกล่าวเพิ่มเติมว่า ประการแรก แม้ที่ผ่านมารายการของตนเน้นเรื่องเปิดพื้นที่ให้ความแตกต่าง แต่เมื่อทางสถานีบอกว่าจะไม่เอาเรื่องนี้ งานจะไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ และทิศทางของช่องจะไม่เป็นอย่างนี้แล้ว ในเมื่อนโยบายเปลี่ยน และไม่มีคอนเซ็ปต์อย่างที่ตนทำก็ต้องยอมรับ อีกประการหนึ่งคือ วอยซ์ทีวีเป็นสื่อเอกชน จะไปเรียกร้องอะไรก็ไม่ได้ แม้จะมีสิทธิตามกฎหมาย แต่ความเป็นเอกชนก็พูดกันลำบาก เมื่อบริษัทเปลี่ยนนโยบายก็ต้องว่ากันตามนี้ เมื่อพิจารณาที่เนื้อหา ไม่ได้มีอะไรที่แหลมคมมาก ว่าตามประเด็นที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน บางครั้งกรณีที่สถานีขอมาโดยเอากระทรวงต่างๆ มาออกรายการเราก็ออกให้ ซึ่งการเชิญแขกรับเชิญทางสถานีให้อิสรภาพกับตนมาก หลายเรื่องก็เป็นแขกที่อยู่ตรงข้าม หรือแย้งกับรัฐบาลมาออก แต่สิ่งที่เป็นประเด็นทำให้ย้ายรายการออกไป คือการสัมภาษณ์ให้พื้นที่กับพรรคประชาธิปัตย์มากไป
“การเชิญแขกนี่เขาให้อิสรภาพกับเรามาก แล้วหลายๆ เรื่องก็เป็นแขกที่อยู่ตรงข้าม หรือแย้งกับรัฐบาลมาออก แต่ว่าสิ่งที่เป็นประเด็น แล้วอันนี้เขาตัดสินใจทันทีที่จะให้รายการออกไป คือการสัมภาษณ์ให้พื้นที่กับประชาธิปัตย์มากไปหน่อย เหตุผลที่ผมให้น้ำหนักตรงนั้น เพราะว่า อันที่หนึ่ง คือ ประชาธิปัตย์เป็น ส.ส. เป็นตัวแทนของประชาชน เพราะฉะนั้นเราควรจะฟังตัวแทนของประชาชนที่อยู่ฝ่ายค้าน อันที่สอง ผมเห็นว่ารายการหลายรายการในวอยซ์นี่ออกมาในเชิงโปรรัฐบาลอยู่ ผมก็อยากเอาความเห็นที่ต่างจากรัฐบาลมาแชร์บ้าง เพื่อให้คนดูโดยภาพรวมมีข้อเห็นที่หลากหลายกันไป หรือแม้แต่เรื่องของ คอป.ก็เหมือนกัน เขาก็วิจารณ์คุณสมชาย หอมลออ อย่างนั้นอย่างนี้ ผมก็เอาคุณสมชายมาพูด ว่าทำไมต้องเน้นเฉพาะชายชุดดำ เขาก็อธิบาย ซึ่งผมคิดว่าในแง่ของคนดูน่าจะได้ประโยชน์ เพราะว่าจะได้ไปสมดุลกันเอง” นายจอม กล่าว
• เผยเทป “จักรภพ” ถูกแบน สะท้อนพรรคเพื่อไทยอ่อนไหวเรื่อง 112-องคมนตรี
นายจอมกล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาไม่มีสัญญาณจากผู้บริหารให้หยุด ซึ่งตนสบายใจและมั่นใจว่าให้อิสระกับตนจริงๆ แต่วันที่ยกรายการตนรับได้ แม้จะขัดต่อความรู้สึกอยู่บ้าง แต่เมื่อนโยบายเปลี่ยนเพื่อต้องการเอาช่องเข้าไปผูกกับทรูวิชั่นส์ ซึ่งมีกรอบของเนื้อหาอยู่ว่าจะไม่มีเรื่องเกี่ยวข้องกับมาตรา 112 (กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ) ไม่มีมีเรื่องขัดแย้งทางการเมืองรุนแรง ไม่มีเรื่องของการเมืองมาก ดังนั้นถ้าจะเข้าก็ต้องเป็นแบบนั้น แต่ทางช่องไม่ได้บอกว่าเข้าไปอยู่ในแพ็คแกจของทรู แต่บอกว่าปรับนโยบาย จะไม่เล่นข่าวของเรื่องความขัดแย้ง เรื่องของการเมืองรุนแรงอะไรอีกแล้ว จะเล่นเรื่องของคนรุ่นใหม่ จะขยายกลุ่มเป้าหมายมาสู่เด็กวัยรุ่นมากขึ้น แล้วก็ไลฟ์สไตล์ แรงบันดาลใจ เรื่องของสมาร์ทคอนเทนต์ ซึ่งเป็นลักษณะของความรู้ ลดความขัดแย้งทางการเมืองลง
ในตอนหนึ่ง นายจอมยังกล่าวถึงช่วงหนึ่งที่สัมภาษณ์นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และผู้ต้องหาหนีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แต่ไม่ได้ออกอากาศ ว่า ก่อนหน้านี้นายจักรภพให้สัมภาษณ์ผ่านเว็บไซต์ประชาไท บรรณาธิการ (บก.) ของช่องคิดว่าน่าจะคุยได้ ไม่น่าจะมีปัญหา จึงให้ตนสัมภาษณ์แล้วมาดูเนื้อหา เมื่อสัมภาษณ์เสร็จพอมาดู บก.บอกไม่ได้ คือมีเรื่องของสถาบันซึ่งนำเสนอไม่ได้ ซึ่งความเห็นส่วนตัวช่วงที่พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้าน ประเด็นมาตรา 112 หรือประเด็นเกี่ยวกับองคมนตรี เราเล่นได้อิสระ แต่ไม่ใช่อิสระบนความเอาเป็นเอาตาย แต่บนเหตุผลที่จะนำเสนอเราเล่นได้เต็มที่ แต่พอมาเป็นรัฐบาลรู้สึกว่าจะเริ่มมีความกังวลขึ้น มีสัญญาณแบบนี้มา
• อ้าง “เรตติ้งไม่ดี” สู้รายการ “คุณปลิ้ม” ไม่ได้ แจงเน้นข้อมูลรอบด้าน
นายจอมกล่าวว่า ตนได้ถามกับทางสถานีว่า รายการของคุณปลื้ม (ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล) ซึ่งก็หยิบประเด็นที่ค่อนข้างจะแรง หรือรายการอื่นๆ ที่มีลักษณะนี้ สถานีบอกว่ารายการอื่นมีเรตติ้งที่ดี มีคนดูเยอะ เรตติ้งของเราอาจจะยังไม่ดี และเห็นว่าในลักษณะของคนทำงานข่าวในปัจจุบัน ต้องคิดคู่กันไปหรือเปล่าว่าระหว่างการให้ข้อมูลที่รอบด้านกับคนดู คนฟัง กับการคำนึงถึงเรตติ้ง เพื่อจะให้สิ่งที่เรานำเสนอนั้นเข้าถึงคนดูได้มากที่สุด แต่บางครั้งถ้าคิดว่าเราเอาเรตติ้งเป็นตัวตั้งแล้วเราทำเพื่อสนองเรตติ้งโดยไม่ได้คิดว่าข้อมูลที่ให้นั้นสร้างความคิดให้กับคนที่จะทำให้เกิดความเข้าใจในเชิงเหตุผลมากน้อยแค่ไหน
“ผมคิดว่าเรตติ้งก็ไม่น่าจะใช่ปัจจัยที่เป็นหลัก แต่ควรจะมองไปในลักษณะที่คู่กันว่าคอนเทนต์ที่ให้จะให้คนดูได้ประโยชน์ด้วย และเป็นเรตติ้งที่ไปด้วยกันได้ ผมคิดว่านี่เป็นสิ่งที่คนทำสื่ออาจจะต้องกลับมาคิดเหมือนกัน นี่ขนาดเป็นช่องเคเบิลนะครับ ถ้าเป็นช่องธุรกิจนี่ เรตติ้งจะเป็นอะไรที่ต้องต่อสู้ฟาดฟันให้ได้มากันจนลืมหลักการของการทำงานด้วยซ้ำว่า แล้วข้อมูลข้อเท็จจริงที่เราจะให้เป็นอย่างไร แน่นอนบางครั้งมีข้อมูลที่น่าสนใจอยู่ แต่ด้วยความรู้สึกว่าจะต้องใส่อะไรเข้าไปอีกเพื่อให้ได้เรตติ้งเข้ามาด้วยนี่ ตรงนี้ทำให้บางทีมันดูเพี้ยนๆ ไป” นายจอมกล่าว
นายจอม กล่าวว่า ครั้งหนึ่งตนได้เสนอว่าน่าจะมีรายการที่เอาพวกอาจารย์จากนิด้า จากกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ ให้พวกเขาได้ออกรายการ ซึ่งคำตอบที่ได้รับก็คือเขาคงไม่มา ซึ่งตนเห็นว่าหากพยายามมีรายการขาประจำ นักวิชาการแดงอยู่ในวอยซ์ และมีกลุ่มที่ออกเหลืองๆ มานั่งถกเถียงกันได้ ซึ่งตนพร้อมที่จะเป็นไกด์ให้ เพื่อให้คนดูมีความสมดุล และให้เขาได้แสดงทัศนะบ้าง ซึ่งก็ได้คำตอบว่าคงไม่มาหรอก ยาก แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง เขาก็มักจะย้อนว่าคุณก็รู้ ทีนี่ใครเป็นเจ้าของ มันก็ชัดน่ะว่าที่นี่คือแดง ที่นี่คือช่องหรือสื่อที่จะสนับสนุนรัฐบาลโดยปริยาย เพราะฉะนั้นอย่าพยายาม ซึ่งก็ไม่ได้เป็นสื่อแบบที่เราอยากให้เป็น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นสื่อเลือกข้าง ตนทำหน้าที่อยู่ในสื่อเลือกข้าง ทีนี้ตนพยายามที่จะไม่เลือกข้าง ก็เลยเป็นตัวประหลาด
• เผย “เอเชียอัพเดท” เคยชวนแต่ไม่ไป ลั่นไม่ใช่ “แดงเพื่อไทย-ทักษิณ”
เมื่อถามว่า สถานการณ์รายการหลุดผังไม่ใช่ครั้งแรก ครั้งนี้ต่างจากครั้งอื่นหรือไม่ นายจอมกล่าวว่า ครั้งนี้ถ้าจะต่างก็เป็นเหตุผลเรื่องธุรกิจ แต่ที่ผ่านๆ มาเป็นเรื่องการเมืองล้วนๆ สะท้อนให้เห็นว่านักธุรกิจที่มาทำสื่อ สุดท้ายก็ไม่ได้จีรังอะไรกับเรื่องของหลักการวิชาชีพ ไม่ลึกซึ้งกับเรื่องของวิชาชีพ จรรยาบรรณ หรือหลักของวิชาชีพเลย คิดว่าถ้าเขาจะสามารถทำประโยชน์ได้ ไม่ว่าจะประโยชน์เชิงธุรกิจหรือประโยชน์ทางการเมือง อันนี้คือเป้าหมายหลัก ส่วนประโยชน์ในแง่ของประโยชน์สาธารณะที่คนจะได้มีความรู้ความเข้าใจ ได้ความคิดในเชิงเหตุและผลและปัญญานั้น เขาคิดไว้หลังสุด
เมื่อถามว่า ระหว่างเหตุผลทางธุรกิจกับการเมือง ให้น้ำหนักอย่างไร นายจอมกล่าวว่า พอๆ กัน ตอนนี้ถ้ามองว่าสื่อในมือรัฐบาลมีอยู่สอง ที่ชัดเจน คือวอยซ์ กับเอเซียอัพเดท ทีนี้เขาบอกว่าถ้าจะทำประเด็นการเมือง ประเด็นที่มีความขัดแย้งแรงๆ ให้ไปที่เอเชียอัพเดท คือเขาต้องการให้สองช่องนี้มีเอกลักษณ์ที่ชัดเจนและแตกต่าง เป็นสินค้าสองตัวที่ต่างกัน ถ้าเป็นวอยซ์ ก็ควรจะเป็นสินค้าในอีกกลุ่มหนึ่งที่ลดความขัดแย้งลดความรุนแรงลง แต่เป็นลักษณะของคนรุ่นใหม่ เป็นเรื่องของแรงบันดาลใจ ความทันสมัย งานศิลปะ แต่ถ้าจะเล่นการเมืองแรงๆ เป็นลักษณะของการถกเถียงกัน ไปเอเชียอัพเดท ซึ่งเขาก็เสนอเหมือนกันว่าสนใจไปเอเชียอัพเดทไหม แต่ตนบอกว่าตนขอไม่ไป
“เอเชียอัพเดทนี่ ต้องบอกว่า เขาชักชวนผมตั้งแต่วันแรกที่เราจากไอทีวีกันมา และมีความพยายามมากที่จะให้ผมไป แต่ผมก็ขอร้องเถอะว่ามันไม่ใช่ทิศทางผม ซึ่งแน่นอนชัดเจนว่าเขาเป็นสื่อเลือกข้างสำหรับรัฐบาลและการเมือง ซึ่งผมคิดว่า อันหนึ่งที่คนในขบวนการเสื้อแดงอาจจะต้องคิด คือมันมีคำถามอยู่ว่าคุณจอมเป็นเสื้อแดงนี่ ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ซึ่งบางทีผมก็ต้องมาค้นหาตัวเองเหมือนกันว่าเราแดงตั้งแต่เมื่อไหร่ ถ้าจะจับต้นชนปลายผมคิดว่าก็น่าจะมองผมตั้งแต่ผมสัมภาษณ์คุณทักษิณ สองสามครั้ง ซึ่งผมก็มีเหตุผลทุกครั้งในการสัมภาษณ์คุณทักษิณ ช่วงที่อยู่ อสมท. ช่วงนั้นก็เป็นอีกช่วงหนึ่งที่ผมเห็นว่าคุณทักษิณถูกรัฐบาลประชาธิปัตย์กล่าวหาเยอะมาก แล้วเราก็ไม่ได้มีโอกาสฟังเสียงชัดๆว่าข้อกล่าวหาเหล่านั้นเขาจะอธิบายอย่างไร ผมก็ได้ทำหน้าที่นั้น ซึ่งแน่นอนการทำหน้าที่ของผม อาจจะไม่ได้เจาะลึก หรือขุดคุ้ยตะลุยตะบี้ตะบัน เพราะฉะนั้นฝ่ายที่เป็นประชาธิปัตย์จริงๆก็บอกว่าถ้าคุณเป็นสื่อจริงคุณจะต้องขุดให้ลึกกว่านั้น โอเค อันนั้นก็อาจจะวิพากษ์วิจารณ์กันได้
ส่วนอีกครั้งก่อนหน้านั้นเป็นช่วงที่สัมภาษณ์คุณทักษิณตอนที่อยู่ฮ่องกง ช่วงพรรคพลังประชาชนกำลังฟอร์มตัวเป็นรัฐบาล ก็เหมือนกัน เหตุผลของผม เพราะว่าพลังประชาชนกำลังจะเป็นรัฐบาล เพราะฉะนั้นมีความจำเป็นที่ต้องสัมภาษณ์ ถ้าสองครั้งนี้ทำให้สังคมมมองว่าผมเป็นแดง ผมก็บอกว่าก็น่าจะมาจากเหตุผลนี้ แต่ผมยืนยันกับทีมงานตัวเองว่าถ้าผมจะแดง ผมไม่ได้แดงเพื่อพรรคเพื่อไทย และผมไม่ได้แดงเพื่อทักษิณ แต่ถ้าจะแดง เพราะผมเห็นความเคลื่อนไหวของคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งก็แน่นอนอาจจะอยู่ในเฉดของแดง คือ กลุ่มคนที่ต้องการเห็นความเป็นธรรม เรื่องของประชาธิปไตย ประชาชน สิทธิ คือประชาชนคือผู้มีอำนาจในการที่จะบริหารจัดการประเทศ คนกลุ่มนี้มีอยู่เฉดหนึ่งในขบวนการเสื้อแดง ผมคิดว่าผมเป็นหนึ่งในนั้นถ้าจะมองอย่างนั้นนะ เพราะว่าก่อนหน้านั้นมันไม่ชัด เพราะผมก็เห็นไม่ชัด แต่หลังที่มีการปฏิวัติ การเคลื่อนไหวต่อสู้ของคนเสื้อแดง ผมเห็นกลุ่มหนึ่งในเฉดแดงนี่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องเรื่องนี้ และคนกลุ่มนี้ไม่ได้ออกมาเพื่อทักษิณ ไม่ได้ออกมาเพื่อเพื่อไทย แต่เขาอยากเห็นกลไกของประเทศที่มีความเป็นธรรมมากขึ้น ผมคิดว่าถ้าจะแดง ผมอยู่แดงในส่วนนี้ และผมก็ปฏิเสธที่จะอยู่ร่วมขบวนการแดงเพื่อไทย หรือแดงเพื่อทักษิณ” นายจอม กล่าว
• เตือน “คนเสื้อแดง” อย่าลืมตรวจสอบผู้มีอำนาจ อย่ามัวปกป้องจนลืมหลักการ
ในตอนหนึ่งเมื่อถามว่า สื่อถึงจุดที่ควรต้องมาคุยกันไหมว่าเรื่องหน้าที่ในการนำเสนอ หรือคุณอาจจะต้องกล้าที่จะไม่ต้องแคร์ว่าคนดูจะพอใจ นายจอมกล่าวว่า เรื่องพวกนี้มันควรจะคุยตั้งนานแล้ว แต่ไม่มีใครยอม คนทำสื่อเองก็ไม่มีใครยอมใคร แล้วเขามีความรู้สึกว่าเขาก็มีมวลชนของเขา เพราะฉะนั้น เขาไม่เห็นแคร์อีกกลุ่มหนึ่ง คนก็ไม่เชื่อมั่นสื่อ แล้วกลายเป็นว่าเราเป็นหัวหอกทำให้สังคมกำลังฆ่ากันทุกวันนี้ และยอมกับสิ่งเหล่านี้แทนที่จะมาทบทวนตัวเองว่าเราเป็นเครื่องมือของใครแล้วทำอะไร และคนที่ทำสื่อปัจจุบัน ตนเห็นว่าคนทำสื่อมันต้องผ่านการต่อสู้ ผ่านการค้นหาหลักการจุดยืนของวิชาชีพพอสมควรว่าสังคมเราอะไรคือปัญหา ไม่ใช่แบบว่า ผมได้ยินมาเยอะเหมือนกัน พอเพื่อไทยชนะ ขบวนการแดงมา สื่อบางฉบับ บางสำนักก็หันเหมาแดงเพราะเห็นว่าคนแดงเยอะ
“วิธีการทำสื่อ หน้าที่หลักของสื่อมวลชนคือการตรวจสอบผู้มีอำนาจ ครั้งหนึ่งเพื่อไทยไม่มีอำนาจ แต่เมื่อเขามีอำนาจแม้ว่าคนเสื้อแดงจะสนับสนุนแต่อย่าลืมว่าประชาชนต้องตรวจสอบผู้มีอำนาจ สื่อมวลชนต้องตรวจสอบผู้มีอำนาจ ถ้าบอกว่าไม่ต้องตรวจสอบเพราะเราเป็นกลุ่มเดียวกัน ไม่ต้องตั้งคำถาม ผมทำเพื่อคุณอยู่แล้ว ไม่มีทางที่เราจะมีความเชื่อมั่นได้ ในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยผู้มีอำนาจไม่เคยน่าไว้วางใจได้เลย เพราะฉะนั้น แม้ว่าเราจะอยู่ข้างคุณ แต่ ณ วันหนึ่งที่คุณอยู่ในอำนาจ เรามีหน้าที่ต้องตั้งคำถามกับคุณ ตรวจสอบคุณ เหมือนกัน ถ้ารัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ปฏิเสธการตรวจสอบของคนเสื้อแดง ไม่ต้องการให้คนเสือแดงออกมาเคลื่อนไหวตั้งคำถามในการดำเนินนโยบายต่างๆ ผมว่าอันนี้คนเสื้อแดงต้องกลับมาทบทวนแล้ว ฝ่ายค้าน ส.ว.จะตรวจสอบคุณ ก็ปล่อยให้เขาตรวจสอบไป คุณมีอะไรมาอธิบายก็อธิบายไป ไม่ใช่ว่าไม่ได้ อันนี้จะล้มรัฐบาลๆ คุณมีผนังทองแดงคือประชาชนอยู่ข้างหลังคุณ แล้วคุณจะกลัวอะไรกับการตรวจสอบ” นายจอม กล่าว
นายจอม ยังกล่าวฝากผู้มีอำนาจ และประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มคนเสื้อแดงว่าจะต้องอย่าสนับสนุนในลักษณะที่พวกกูกลุ่มกูทำอะไรแล้ว มีอำนาจแล้วคือชัยชนะ เรามองว่ารัฐบาลหรือฝ่ายการเมือง เรายังไม่สามารถให้ความไว้วางใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ถึงจริงใจต่อประเทศหรือต่อประชาชน นี่เป็นสิ่งที่ถูกพิสูจน์มาในประวัติศาสตร์ คนเสื้อแดงเองก็จะต้องตั้งคำถามกับรัฐบาลนี้ แน่นอนเขาอาจจะมีหลักการ มีจุดยืนอยู่ข้างประชาชนมากว่าพรรคการเมืองอื่น ด้วยวิธีคิด ด้วยนโยบายเอาประชาชนเป็นหลัก ให้ความสำคัญกับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่งเป็นจุดแข็งของรัฐบาลนี้ แต่ว่าประชาชนหรือคนเสื้อแดงเองจะต้องตรวจสอบ ตั้งคำถาม ท้วงติง ว่าอะไรคือสิ่งที่ทำแล้วเป็นประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่ทำแล้วเป็นประโยชน์เฉพาะก๊วน เฉพาะพรรค เฉพาะกลุ่ม เฉพาะครอบครัวของกลุ่มการเมืองเอง
“หนึ่งปีผ่านไปของรัฐบาล คนเสื้อแดงต้องมาถามว่าสิ่งที่คนเสื้อแดงเรียกร้องมาไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตย ความเป็นธรรม การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ปฏิรูปอะไรต่างๆที่เป็นโครงสร้างหลักของประเทศที่จะนำไปสู่การเป็นประชาธิปไตยจริงๆนี่ มันได้ถูกขยับเขยื้อนหรือยัง หรือทำไปบ้างหรือยังในรัฐบาลนี้ ผมคิดว่านี่คือสิ่งที่คนเสื้อแดงต้องตั้งคำถามเหมือนกัน แน่นอนว่าเรื่องของโครงการช่วยเหลืองเรื่องปากท้องก็ทำกันไป เป็นส่วนหนึ่ง แล้วถ้าหากมันมีข้อสงสัยความไม่ชอบมาพากลในกระบวนการนี้ก็อย่าออกมาปกป้องจนลืมหลักการที่ว่าไว้ ผมก็ยังไม่ชัดว่าเพื่อไทยจะมีอุดมการณ์หรือความเป็นประชาธิปไตยที่เราใฝ่ฝันให้เกิดขึ้น” นายจอม กล่าว
• ฝากถึงสื่อเคารพวิชาชีพ ชี้ “ปรากฏการณ์สรยุทธ” ทำให้เสื่อมถอย
นอกจากนี้ นายจอมยังกล่าวฝากถึงสถาบันสื่อกับผู้ประกอบธุรกิจสื่อ ว่า อยากให้คนทำสื่อเป็นตัวของตัวเองให้มาก และอยากให้กลับมาเคารพในวิชาชีพให้มาก และให้เป็นหลักของสังคมให้ได้ให้สังคมมีความยอมรับ มีความศรัทธา ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรเล่าข่าวชื่อดัง ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับการเมืองที่ใช้สื่อแล้วสื่อยอมตามกลไกของรัฐ กลไกอำนาจการเมือง อำนาจของนายทุน มันถูกพิสูจน์มาแล้ว และทำให้คนเสื่อมศรัทธาต่อวิชาชีพสื่อมาโดยตลอด ตอนนี้เรียกว่าเกือบไม่เหลืออะไรแล้ว และยิ่งกรณีนายสรยุทธทำให้เสื่อมถอยมาก คือ อย่าคิดว่านี่คืออุดมติหรืออุดมการณ์ที่เราจะไปไม่ถึง มันต้องสร้างให้เกิดขึ้นให้ได้ อย่างน้อยต้องให้คนมีศรัทธาต่อคนในวิชาชีพนี้บ้าง คำเรียกร้องแบบนี้เรียกร้องกันมายี่สิบปีได้แล้ว แต่ก็ยังไม่เกิดขึ้น ส่วนนักธุรกิจคงเปลี่ยนไม่ได้ ธุรกิจกับสื่อมันต้องคู่กัน แต่ว่าคู่กันอย่างไรที่ทั้งสองอันไม่ได้ทำให้วิชาชีพหรือจรรยาบรรณของวิชาชีพถูกทำลายโดยธุรกิจและฝ่ายการเมือง ตนคิดว่าคนทำสื่อก็ต้องให้นักธุรกิจเรียนรู้ด้วย แล้วธุรกิจก็ต้องยอมรับและเคารพในวิชาชีพสื่อด้วย
สำหรับสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมวอยซ์ทีวี มีบริษัท วอยซ์ทีวี จำกัด เป็นเจ้าของ ประกอบกิจการสถานีโทรทัศน์ทางอินเทอร์เน็ต มีทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท แถลงข่าวเปิดตัวเมื่อ วันที่ 23 พ.ย.2552 โดยมี นายทรงศักดิ์ เปรมสุข ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท วอยซ์ทีวี ขณะที่ นายพานทองแท้ ชินวัตร ดำรงตำแหน่ง Executive Vice President ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร เป็นกรรมการบริษัท โดยบุตรชายและบุตรสาวทั้งสองของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทร่วมกัน ในตอนต้น นายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา พยายามกล่าวอ้างว่า วอยซ์ทีวี เปิดมาด้วยเหตุผลทางธุรกิจเท่านั้น โดยไม่ได้มีจุดประสงค์ทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเหตุการณ์สำคัญ เช่น คดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือสถานการณ์การชุมนุมและก่อการร้ายของกลุ่มคนเสื้อแดงเริ่มรุนแรงขึ้นตั้งแต่ปี 2552 ที่ผ่านมา วอยซ์ทีวีก็ประกาศตัวอย่างชัดเจนว่า ยืนข้างครอบครัวชินวัตรและสนับสนุนการชุมนุมของคนเสื้อแดง โดยมีการนำพิธีกรที่มีแนวคิดโจมตีฝ่ายตรงข้าม พ.ต.ท.ทักษิณและกลุ่มคนเสื้อแดง อาทิ ม.ล.ณัฎฐกรณ์ เทวกุล, นายชูวัส ฤกษ์ศิริสุข, นายพิชญ์ พงษ์สวัสดิ์, นางสาวลักขณา ปันวิชัย (คำ ผกา), นางสาวตวงพร อัศววิไล และ นายธีรัตน์ รัตนเสวี เป็นต้น ซึ่งวอยซ์ทีวีได้เชิญ นายจอม เพชรประดับ มาเป็นพิธีกรรายการนิวส์ทอล์ค โดยเริ่มจากรายการอินเทลลิเจนท์ ซึ่งจัดสลับกันกับ นายธีรัตน์ และ นางสาวตวงพร ก่อนที่ นายจอมจะได้ดำเนินรายการฮอต ทอปปิก เพิ่มเป็นเวลา 30 นาทีทุกวันจันทร์-ศุกร์
มีรายงานเพิ่มเติมว่า รายการฮอต ทอปปิก ที่มีนายจอมดำเนินรายการ ผ่านสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมวอยซ์ ทีวี ช่วงเวลา 18.30-19.00 น.ทุกวันจันทร์-ศุกร์ ได้ออกอากาศครั้งสุดท้ายเมื่อวันจันทร์ที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา ในประเด็น “เกษตรกร-คนจน ยังทนทุกข์ ที่อยู่-ที่ทำกิน” ซึ่งมีนายเพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ อดีตกรรมการปฏิรูปที่ดิน และ นายสมบูรณ์ สิงกิ่ง คณะกรรมการเครือข่ายแก้ไขปัญหาที่ดินชนบท เป็นแขกรับเชิญ ก่อนที่ในวันที่ 2 ต.ค.ที่ผ่านมาจะไม่มีการออกอากาศรายการฮอท ทอปปิก ในช่วงเวลาดังกล่าว โดยเปลี่ยนเป็นการนำเทปรายการ วอยซ์ ออฟ เดอะ เดย์ ซึ่งเป็นรายการแนวไลฟ์สไตล์มาออกอากาศแทน
ที่ผ่านมา รายการของนายจอมมีความพยายามที่จะเชิญบุคคลซึ่งอยู่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลเป็นแขกรับเชิญ เช่น นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นแขกรับเชิญในหัวข้อ “ปชป.ประเมิน 1 ปี รัฐบาล พท.ทุกข์ที่คนไทยต้องทน” เมื่อวันที่ 24 ส.ค.หรือการเชิญ ส.ส.ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ คือ นายอันวาร์ สา และ ส.ส.ปัตตานี พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมกับ นายซูการ์โน มะทา อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ในประเด็น “เกมการเมือง ปชป.-พท.ไม่จริงใจ “ดับไฟใต้”” เมื่อวันที่ 7 ก.ย.การเชิญ นายสมชาย หอมลออ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ หรือ คอป.ในประเด็น ““ชายชุดดำ” ความจริงเพื่อความปรองดองของ คอป.?” เมื่อวันที่ 20 ก.ย.และการเชิญ นายหาญณรงค์ เยาวเลิศ ประธานมูลนิธิเพื่อการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ ในประเด็น “สร้างแก่นเสือเต้น...ได้ไม่คุ้มเสีย” เมื่อวันที่ 24 ก.ย.
อย่างไรก็ตาม นายทรงศักดิ์ เปรมสุข กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท วอยซ์ ทีวี จำกัด ได้ออกมายอมรับในระหว่างการแถลงข่าวถึงความร่วมมือกับบริษัท ทรูวิชั่นส์ จำกัด ผู้ให้บริการโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิกรายใหญ่ของเครือทรู คอร์ปอเรชั่น ในการนำวอยซ์ทีวีเป็นส่วนหนึ่งของช่องรายการของทรูวิชั่นส์ เมื่อวันที่ 9 ต.ค.ที่ผ่านมา ที่โรงแรมวี โฮเทล โดยระบุว่า ในส่วนของผังรายการวอยซ์ทีวี เดิมแบ่งเป็นข่าว 80% และสารบันเทิง 20% ได้ปรับใหม่เป็นข่าว 50% และสารบันเทิง 50% ส่วนในเดือนพฤศจิกายนนี้ วอยซ์ทีวี เตรียมปรับผังรายการอีกครั้ง เพื่อนำเสนอรายการแนวสมาร์ท คอนเทนต์ หรือรายการสาระบันเทิงที่น่าสนใจ เช่น รายการสไตล์ลีฟวิ่ง รายการเพลง รวมถึงกิจกรรมสร้างสรรค์เพื่อสังคม