ผู้บัญชาการทหารบก โยนถามตำรวจสอบมือบึ้มสายบุรี ยันพร้อมป้องกัน เข้มงวดยุทธวิธี รับเหตุเกิดเพราะใช้กฎหมายจำกัดทำปฏิบัติงานยาก ชูนิติวิทยาศาสตร์พิสูจน์ดีที่สุด จ่อสั่งตั้งด่านเพิ่ม แต่ชาวบ้านอาจเดือดร้อนแน่ เผยยังมีเป้าเสี่ยงสูงทำแก้ยาก ชี้ถ้าอยากได้ข่าว 100% ต้องส่งสปายแต่ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่มีปัญหายกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่รับทำโจรรอดง่าย ได้แต่สร้างภาพ โวยอย่าเดือดร้อนแทนผู้ก่อการ โอดพอเกิดเรื่องก็โทษทหาร ย้ำพร้อมถอนกำลังถ้า ตร.ชรบ.พร้อมสานต่อ
วันนี้ (24 ก.ย). ที่กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ผู้ก่อการร้ายได้วางระเบิดใน อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เพื่อหวังข่มขู่ผู้ที่เข้ามามอบตัวต่อเจ้าหน้าที่ว่า หากถามเรื่องเหตุผลการก่อเหตุต้องไปถามเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในส่วนของตนคิดว่าถ้าเขามีโอกาสเขาก็จะทำ ส่วนเรื่องการมอบตัวเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เป็นกลุ่มคนที่เขาไม่อยากต่อสู้เขาก็จะมามอบตัว แต่กลุ่มไหนที่ต้องการต่อสู้ก็คงจะใช้ความรุนแรงต่อไป ซึ่งเราต้องใช้ทุกมาตรการป้องกันโดยเฉพาะยุทธศาสตร์การเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ทั้งนี้เราได้เข้มงวดเรื่องการปฏิบัติการทางยุทธวิธี การใช้กฎหมาย ในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พลเรือน ทหารก็ยังดำเนินการอยู่
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า สำหรับงานด้านการพัฒนาและการเยียวยาเป็นหน้าที่ของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ที่จะต้องดำเนินการควบคู่กันไป แต่เหตุการณ์ก็ยังคงจะต้องเกิดอยู่เพราะการบังคับใช้กฎหมายค่อนข้างจำกัด เพราะประชาชนส่วนหนึ่งได้รับความเดือดร้อน และส่วนหนึ่งไม่ได้รับความเดือดร้อน และประชาชนทั้งสองส่วนก็ไม่อยากให้ใช้กฎหมายพิเศษในพื้นที่ ดังนั้นทำให้การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ค่อนข้างดำเนินการได้ยาก โดยเฉพาะการตรวจค้น จับกุม สอบสวนและการดำเนินคดี ที่ต้องอาศัยเวลาพอสมควรการพิสูจน์หลักฐาน หากพิสูจน์ไม่ได้ก็ต้องปล่อยตัว ทั้งที่ทราบดีว่าคนเหล่านั้นมีส่วนร่วมก่อเหตุความรุนแรง สิ่งที่มีประสิทธิภาพที่สุด คือ การพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์หลังจากที่มีการจับกุมได้แล้ว ซึ่งจะต้องยอมรับกันในจุดนี้
“ผมคิดว่าต้องเข้มงวดด้านยุทธวิธี การบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งจะทำให้ประชาชนเดือดร้อนมากขึ้น โดยผมจะสั่งการให้ตั้งด่านตรวจสกัดให้มากขึ้นในทุกพื้นที่ สำหรับในพื้นที่ควบคุมบางพื้นที่อาจจะต้องดำเนินการเป็นพิเศษ คือว่าประชาชนได้รับความเดือดร้อนแน่นอน เพราะถ้าไม่เข้มงวดการตั้งด่านตรวจสกัดให้ได้ผลจริงๆ และไม่เพิ่มประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีที่ทันเวลาก็จะต้องเกิดเหตุอยู่เช่นนี้ เนื่องจากคนเหล่านั้นไม่ได้กลับมาร่วมมือกับเรา” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ยอมรับว่ายังมีช่องว่างมากทำให้ผู้ก่อความไม่สงบฉวยโอกาสก่อเหตุ เพราะเรามีเป้าหมายเสี่ยงจำนวนมาก เช่น พื้นที่และประชาชน ปัจจุบันเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปดูแลจนถูกลักลอบทำร้าย ทั้งชุดรักษาความปลอดภัย ชุดเฝ้าสถานที่ ชุดคุ้มครองครู นักเรียน วัด ซึ่งถือเป็นเป้าหมายอ่อนแอ เพราะมีความเสี่ยงในการสัญจรไปมาเส้นทางเดิมและในเวลาเดิม นั่นคือสาเหตุที่เราไม่สามารถแก้ไขปัญหาตรงนี้ได้ ในส่วนของพื้นที่ที่มีความสุ่มเสี่ยงเป็นจำนวนมากเรากำลังจะกำหนดว่าพื้นที่ใดมีความรุนแรงมากหรือน้อย แต่ก็เสี่ยงเหมือนกัน เพราะถ้าเรากำหนดพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งว่ามีความรุนแรงมาก ผู้ก่อเหตุก็จะเปลี่ยนพื้นที่การก่อเหตุไปยังพื้นที่ที่เราให้ความสำคัญน้อยลง ซึ่งต้องยอมรับว่าการดำเนินการทุกด้านมีความสุ่มเสี่ยงหมด แต่เราจะอาศัยมาตรการทางด้านการข่าว ถ้าอยากจะได้ข้อมูล 100% เราจะต้องส่งคนไปอยู่กับเขา ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ง่าย
“นายกรัฐมนตรีในฐานะ ผอ.รมน.ได้สั่งการตั้งแต่ที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นให้เข้มงวดในทุกๆจุดให้มากขึ้น ในส่วนของกองกำลังผสมพลเรือน ตำรวจ ทหารก็ต้องไปดูว่าด่านสกัดมีเพียงพอหรือไม่ ถ้าไม่พอเกิดมาจากสาเหตุใด ขาดคนหรือไม่ ทั้งในส่วนของด้านตรวจทหาร พลเรือน ตำรวจ สำหรับพื้นที่ในเขตเมืองนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดจะเป็นผู้ดูแล โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นหลัก และทหารจะเป็นกำลังเสริม ซึ่งต้องเข้าไปเข้มงวดในจุดนี้” ผบ.ทบ.กล่าว
เมื่อถามถึงกรณีที่ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) คนใหม่ ระบุว่าจะให้หน่วยงานความมั่นคงประเมินสถานการณ์และยกเลิกกฎหมายพิเศษในพื้นที่ว่า พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า กำลังพิจาณาอยู่ว่าจะยกเลิกพื้นที่ใด แต่ถ้ายกเลิกใช้กฎหมายพิเศษก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น เพราะเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปดำเนินการทางกฎหมายได้โดยทันที หากมีเหตุการณ์เกิดขึ้นเพราะเจ้าหน้าที่จะต้องไปขอหมายศาลในการจับกุม ตรวจค้น ซึ่งอาจจะไม่ทันเวลา และไม่มีอำนาจในการควบคุมตัว การพิสูจน์หาหลักฐานก็จะลดลง และผู้ร้ายก็จะหลุดออกไปได้ง่าย นั้นคือสิ่งที่จะเกิดขึ้น แต่สิ่งที่ได้มาคือกระแสสังคมที่จะทำให้ดูดีว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ไปรังแกประชาชน
“ผมอยากแยกให้ออกว่าคำว่ารังแกคนซึ่งยอมรับว่าเจ้าหน้าที่ที่เลวๆและไปทำร้ายคนก็มี แต่ก็ได้รับการลงโทษและจะหมดไปเรื่อยๆ แต่ก็มีคนดีที่ลงไปทำงานและใช้กฎหมายในทางที่ถูกจำนวนมาก คิดว่าอาจจะ 100% แล้วก็ได้ ขอให้เห็นใจ ถ้าบอกว่าให้ยกเลิกกฎหมายพิเศษ ผมไม่มีปัญหา และตำรวจก็ไปขอหมายศาลจับเอาเอง ซึ่งต้องรับผิดชอบกัน ขอให้สั่งมาผมทำได้หมด อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าการใช้กฎหมายพิเศษใช้ในพื้นที่ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร ยกเว้นผู้ร้าย แต่ตอนนี้ทุกคนกำลังเดือดร้อนแทนผู้ร้ายทั้งหมด พอมีความบกพร่องและเกิดเหตุก็หันมาโทษเจ้าหน้าที่ ก็เป็นแบบนี้” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
ส่วนกรณีที่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ระบุต้องเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ทหารลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อีก 30% พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ความต้องการของ พล.อ.ยุทธศักดิ์คือต้องการให้ใช้กำลังทหารจากกองทัพภาคที่ 4 ทั้งหมดในการปฏิบัติ เพราะเป็นทหารในพื้นที่ ซึ่งตนได้เรียนว่าทหารในกองทัพภาคที่ 4 มีอยู่ 1 กองพล คือ กองพลทหารราบที่ 5 ที่รับผิดชอบพื้นที่ตามแนวชายแดนและพื้นที่ภาคใต้ 14 จังหวัด ต่อมาก็มีการจัดตั้งกองพลทหารราบที่ 15 ขึ้นมาใหม่ ซึ่งต้องใช้เวลา 5 ปี และตอนนี้ก็ต้องยืดเวลาไปอีก เพราะสถานที่ในการก่อสร้างจำกัด รวมถึงงบประมาณก็ไม่ได้ให้มาทีเดียว เป็นการทยอยให้มารายปี ขณะนี้กำลังพลของกองพลทหารราบที่ 15 ประกอบด้วย นายทหาร 60% นายสิบกว่า 60% พลทหารมี 90-100% รวมแล้วได้ 70% ของอัตราบรรจุ หากต้องการให้มีกำลังพลครบ 100% ก็จะไม่มีเงินในการจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยง
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า อัตราทหารมีอยู่ 3 อัตรา โดยอัตราแรกคืออัตราเต็มที่กองทัพบก มีกำลังประมาณ 4 แสนนาย แต่มีอัตราอนุมัติเพียง 3 แสนนาย แต่สามารถบรรจุได้ 2.5 แสนนาย ซึ่งคล้ายกับการจัดอัตรากำลังของกองพลทหารราบที่ 15 ถ้าบรรจุเต็มหมดก็ไม่มีเงินจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงและเงินเดือน ดังนั้นถ้าจะให้กองทัพภาคที่ 4 รับผิดชอบก็ต้องให้กองพลทหารราบที่ 15 บรรจุทหารได้เต็ม 100% ซึ่งก็ต้องหางบประมาณและบุคลากรมา ทั้งนี้หากบรรจุได้ครบ 100% เต็มแล้ว กำลังก็ไม่พอ เพราะทุกวันนี้เรานำทหารลงไปพื้นที่จำนวน 16 กองพัน ก็ต้องหาคนมาทำงานแทน 16 กองพันนี้ ซึ่งต้องไปหากำลังส่วนอื่นมาอีก
“ขณะนี้กำลังหากำลังตำรวจ และกำลังประจำท้องถิ่น เช่น ราษฎรอาสารักษาหมู่บ้าน (อรบ.) ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) เพิ่มเติม ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ ทหารก็พร้อมที่จะถอนกลับ ที่เหลือก็รับผิดชอบกันถ้าคิดว่าทำได้ดีกว่าก็ทำ หากมีความพร้อม แต่ทุกวันนี้ผมเห็นว่าไม่มีใครพร้อมรับ ทั้งตำรวจ พลเรือน อาสาสมัคร (อส.) ซึ่งเราพร้อมกลับ ไม่ใช่ว่าไม่อยากกลับ เพราะงานอื่นมีอยู่มาก ทั้งการรักษาชายแดน การช่วยเหลือน้ำท่วม การจะวิจารณ์อะไรผมอยากให้มีข้อมูลให้ครบถ้วน เพราะคนทำงานทำกันแทบเป็นแทบตาย และไม่ใช่งานการเมือง แต่เป็นการแก้ไขปัญหาของชาติ ถ้าอยากให้มีความเรียบร้อยโดยเร็วก็อยากให้ทุกคนมีระเบียบมากกว่านี้ ประชาชนต้องยอมรับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ซึ่งผมจะลองให้เจ้าหน้าที่ตรวจค้นรถทุกคัน โดยตั้งด่านจุดตรวจสกัดให้มากขึ้น และตรวจรถให้มากที่สุด และดูว่าจะเกิดเหตุอีกหรือไม่” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว