ผ่าประเด็นร้อน
นาทีนี้ไม่ต้องมาสาธยายอธิบายอะไรกันแล้วว่าเรากำลังหันกลับเข้าสู่ยุค “รัฐตำรวจ” อีกครั้ง ทุกตำแหน่งและบทบาทสำคัญล้วนอยู่ในมือของฝ่ายตำรวจแทบจะหมดสิ้น และเชื่อว่าภายในปลายปีนี้ไปจนถึงต้นปีหน้าจะมีการกระชับอำนาจให้เห็นได้ชัดยิ่งกว่าเดิม เพื่อการคุมทุกอย่างแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
นี่ยังไม่นับกรณีการเหิมเกริมของ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ที่กล้าประกาศ “รับใช้การเมือง” ยอมอุทิศอยู่ใต้ฝ่าเท้าของผู้ทำผิดกฎหมายอย่าง ทักษิณ ชินวัตร เปิดเผยและยึดถือเป็นแบบอย่าง ทั้งที่ถูกศาลตัดสินความผิดด้วยการจำคุก ถูกศาลสั่งยึดทรัพย์จากคดีทุจริต และถูกศาลออกหมายจับหลายคดี มีสถานะไม่ต่างจาก “โจร” ขณะที่ตัวเองเป็น “ตำรวจ”
ล่าสุดเลวร้ายไปกว่านั้น ยังได้ปลุกม็อบตำรวจสั่งการด้วยวาจาให้ตำรวจที่เป็นลูกน้องของตัวเองพกพาอาวุธนับร้อยนายบุกไปข่มขู่คุกคามที่พรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นพรรคฝ่ายค้านและอยู่ตรงกันข้ามกับ “นาย” หรือฝ่ายการเมืองที่ตัวเองสังกัด
เป็นพฤติกรรมอันอัปยศอดสูที่สุดของตำรวจกลุ่มหนึ่งที่เกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้ เพราะนั่นเท่ากับการประกาศตัวโดยไม่ต้องเกรงใจใครอีกต่อไปแล้วว่าตัวเองเป็นคนของนักการเมือง ไม่ใช่เป็นคนของรัฐบาล แม้ว่าอีกมุมหนึ่งพยายามย้ำว่าตัวเองยังทำหน้าที่เป็นตำรวจของประชาชนทุกคน แต่พฤติกรรมและท่าทีดังกล่าวล้วนสวนทาง และทำลายความชอบธรรมในการทำหน้าที่ลงไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
ส่วนหนึ่งที่ตัดสินใจเลือกข้าง อาจเป็นเพราะประเมินสถานการณ์แล้วว่าอำนาจไม่มีทางเปลี่ยนแปลงในระยะอันใกล้ อีกทั้งถ้าประกาศรับใช้การเมืองขั้วอำนาจอย่างในปัจจุบันก็จะยิ่งสร้างความประทับใจให้กับคนที่บันดาลตำแหน่งให้สูงยิ่งไปอีกทั้งที่อยู่ในอาชีพตำรวจหรือเกษียณอายุราชการลงสู่การเมืองในวันหน้าก็ตาม ถือว่าคุ้มค่า เพราะที่ผ่านมาก็ได้ระบุชัดอยู่แล้วว่า “มีวันนี้เพราะพี่ให้”
กรณีการแต่งตั้งให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เป็นปลัดกระทรวงคมนาคมคนใหม่ โดยโยกจากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ถือเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่ว่ามองในมุมไหนก็ย่อมมองออกว่านี่คือรายการ “ตอบแทน” กันด้วยรางวัลก้อนโตก่อนจะเกษียณอายุราชการในอีก 1 ปีข้างหน้า เพราะถ้าพิจารณาด้วยคุณสมบัติและความเหมาะสม ก็ยังมองไม่เห็นว่า คนอย่าง พล.ต.อ.วิเชียร จะมีความโดดเด่นและหาไม่ได้จากข้าราชการในกระทรวงคมนาคมที่ไต่เต้ามาจ่อคิวในตำแหน่งรองปลัดกระทรวง รวมทั้งอธิบดีกรมสำคัญในกระทรวงตรงไหน ตรงกันข้ามกลับทำให้เป็นการตัดโอกาสความก้าวหน้าของข้าราชการเหล่านี้อย่างน่าเกลียดที่สุด
เพราะแม้แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ ก็ยังยอมรับเองว่าการแต่งตั้ง พล.ต.อ.วิเชียร มาเป็นปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นการทำลายความก้าวหน้าของข้าราชการในกระทรวง และยังกล่าวที่มีความหมายเป็นนัยอีกว่าจะส่งผลให้โครงการของกระทรวงโดยเฉพาะการก่อสร้างรถไฟฟ้า 10 สาย ที่อาจต้องล่าช้า ขณะเดียวกันจะมีการแต่งตั้งให้รองปลัดเข้ามาช่วยงานและปรับการทำงานใหม่ โดยอาจให้ พล.ต.อ.วิเชียรไปดูแลเรื่องงานจราจร
นั่นก็เป็นคำตอบชัดเจนแล้วว่า พล.ต.อ.วิเชียรไม่มีความรู้เรื่องงานในกระทรวงคมนาคม ทำให้ต้องมาเรียนรู้ เสียเวลา อย่างไรก็ดีนั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเป้าหมายในการแต่งตั้ง เพราะอย่างที่บอกนี่คือการตอบแทนในฐานะ “เด็กดี” ที่ก่อนหน้าที่เขายอมหลีกทางให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ที่เป็นญาติคนในครอบครัวได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้โดยสะดวก ส่วนตัวเองก็ขอแลกไปนั่งในตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ไปแซะเก้าอี้ของคนอื่นจนเดือดร้อนได้รับผลกระทบไปทั่ว
นอกจากนี้ก็มีตำแหน่งเลขาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ก็มาจากวงการตำรวจ นี่ยังไม่นับตำแหน่งอื่นๆที่สำคัญไปก่อนหน้านี้ เช่น อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ตำแหน่งประธานและกรรมการบอร์ดของรัฐวิสาหกิจต่างๆ
ขณะเดียวกันยังเป็นการสะท้อนให้เห็นภาพชัดเจนแล้วว่า ทักษิณ ชินวัตร ได้รุกคืบเข้ามาบัญชาการ คุมเกมสั่งการอย่างเบ็ดเสร็จอย่างแท้จริง ข่าวคราวที่ว่าข้าราชการคนใดก็ตามก่อนที่จะได้รับตำแหน่งต้องเดินทางไปพบหรือให้ดูตัวเสียก่อน โดยเฉพาะตำแหน่งสำคัญที่เป็นระดับเกรดเอ มีผลต่อการค้ำยันอำนาจของรัฐบาล ล้วนแล้วแต่ต้องได้รับการเลือกเฟ้น เลือกคนไว้ใจได้เท่านั้น
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแน่นอนว่านี่คือการสภาพการณ์การขยายวงในความหมายของ “รัฐตำรวจ” ที่กำลังรุกคืบคุกคามเข้ามาเรื่อยๆ และแน่นอนว่าคนที่อยู่เบื้องหลังทุกคนย่อมรับรู้กันอยู่แล้วว่า มีคนอย่าง ทักษิณ ชินวัตร อยู่เบื้องหลังนั่นเอง!!