“เหลิม” เผย รบ.ปรับเรื่องยาเสพติด จากวาระแห่งชาติเป็นวาระแห่งภูมิภาค ชมกองทัพกันขนยาเข้าชายแดนได้ดี เล็งปีหน้า ป.ป.ส.แถลงปัญหายาเสพติดทุก 3 ด. ขอ มท.-ศธ.-ก.แรงงาน ค้นผู้ติดยามาบำบัด แนะดูเพื่อนบ้านอาเซียนให้ประหารผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ ชี้ตัดปัญหาอกฤทธิ์เดช ในเรือนจำ “อดุลย์” แจงผลงาน 1 ปี ยึดทรัพย์จากยาเสพติด 1,663 ล้าน เข้าบำบัด 400,000 ราย เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารยัน กองทัพหนุนช่วยเหลือผู้ติดยาคืนสังคม
วันนี้ (12 ก.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผอ.ศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ (ผอ.ศพส.) เป็นประธานการแถลงข่าว 1 ปี วาระแห่งชาติเอาชนะยาเสพติด โดยมี พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว เลขาธิกา รป.ป.ส. ว่าที่ ผบ.ตร. นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข (ผอ.ศพส.สธ.) พล.ท.หฤษฎ์ พุ่มหิรัญ เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหาร (ศพส.กองทัพไทย) และพล.ต.อ.พงศพัศ พงศ์เจริญ รอง ผบ.ตร. ว่าที่เลขาธิการ ป.ป.ส.ร่วมด้วย
ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ และยกระดับเป็นวาระแห่งภูมิภาค ประสานความร่วมมือระหว่างประเทศไทย จีน ลาว และ พม่า โดยเฉพาะการป้องกันยาเสพติดตามแนวชายแดน ซึ่งเป็นต้นตอสำคัญของปัญหา รัฐบาลได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะกองทัพ ในการป้องกัน ปราบปราม และบำบัดรักษา จนประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่ยังคงต้องดำเนินการต่อไป ในปี 2556 ได้วางหลักเกณฑ์เบื้องต้นไว้ว่าป.ป.ส.จะต้องทำการแถลงข่าวเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหายาเสพติดทุกๆ 3 เดือน เพื่อชี้แจงตัวเลขการจับกุม การบำบัดรักษา และจะขอให้กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพหลัก ใช้เครือข่ายที่มีอยู่ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ เรื่อยไปจนถึงกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ในการเน้นค้นหาผู้เสพยา รีเอ็กซเรย์ นำผู้เสพยามาบำบัดฟื้นฟู และขอความร่วมมือจากกระทรวงศึกษาธิการ ในการค้นหาผู้เสพยา โดยยึดเป็นทัศนคติของสังคมไทยว่าผู้เสพคือผู้ป่วย เป็นคนหลงผิด ไม่ใช่คนเลวร้าย เมื่อรักษาแล้วต้องต้อนรับกลับคืนสู่สังคม ขณะเดียวกันก็จะขอความร่วมมือจากกระทรวงแรงงานให้ดูในส่วนของผู้ใช้แรงงาน ในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ต้องมีการกวดขันกันเองเช่นกัน
ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า กรณีที่พรรคการเมืองบางพรรคเสนอให้เพิ่มโทษแก่ผู้ค้ายาเสพติดนั้น ความจริงโทษของผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ก็หนักถึงประหารอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเพิ่ม แต่ถ้าจะแก้ไขต้องแก้ให้มีการประหารชีวิตเร็วขึ้น กฎหมายประเทศเรากำหนดว่าการประหารจะทำได้เมื่อเลย 60 วันไปแล้ว ซึ่งมันช้าเกินไป ตนพยายามจะแก้ให้เหลือแค่ 15 วันประหารเลย มิฉะนั้นเมื่อผู้ค้ายารายใหญ่เหล่านี้ไปอยู่ในเรือนจำก็ออกฤทธิ์ออกเดช จับกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็เป็นอยู่อย่างนี้ ปัญหานี้ต้องเอาจริง ต้องเดินหน้าชน ไม่อย่างนั้นลำบาก พวกนี้ถ้าตายบ้างจะเกิดความหลาบจำ ความกลัวจะเกิดขึ้น อยากฝากไปถึงคณะกรรมการสิทธิต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศ ที่พยายามท้วงติงเรื่องนี้ ให้ไปดูประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย หรือเวียดนามบ้าง พวกค้ายาเสพติดรายใหญ่เขาประหารหมด ทำไมไม่ไปกดดันบ้าง มาวอแวแต่ประเทศไทย
พล.ต.อ.อดุลย์กล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ด้านแผนการสร้างพลังชุมชนที่มีเป้าหมาย จำนวน 60,000 หมู่บ้าน ปรากฏว่ามีผลปฏิบัติ 57,598 หมู่บ้าน ด้านการปราบปราม มีผลการปฏิบัติการจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติด จำนวน 369,841 คดี ของกลาง มีการจับกุมยาบ้าได้จำนวน 76 ล้านเม็ด ยาไอซ์ จำนวน 1,400 กิโลกรัม เฮโรอีน จำนวน 254 กิโลกรัม กัญชา จำนวน 1,600 กิโลกรัม และสารซูโดอีเฟดรีน จำนวน 4.5 ล้านเม็ด โดยสามารถดำเนินการยึดทรัพย์ได้จำนวน 4,700 คดี มูลค่ากว่า 1,663 ล้านบาท
นอกจากนี้ ในส่วนของการการบำบัดรักษา ตั้งแต่วันที่ 11 ก.ย. 54 - 8 ก.ย. 55 ที่มีเป้าหมายที่จะนำผู้ติดยาเสพติดเข้ารับการบำบัดรักษาจำนวน 400,000 ราย ขณะนี้การดำเนินงานได้บรรลุเกินเป้าหมายโดยมีผู้เข้ารับการบำบัดไว้ คือ 508,850 ราย หรือร้อยละ 127 โดยแบ่งเป็นระบบสมัครใจ 351,766 ราย ระบบบังคับบำบัด 139,885 ราย และระบบต้องโทษ 17,199 ราย
พล.ท.หฤษฎ์กล่าวว่า จากการที่รัฐบาลได้มอบหมายให้กองทัพไทยสนับสนุนกรมคุมประพฤติในการบำบัด ฟื้นฟู สมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด โดยใช้หน่วยที่ตั้งทหารหรือโรงเรียนวิวัฒน์พลเมืองฝ่ายปกครอง จำนวน 52 แห่งเป็นสถานที่ในการบำบัดนั้น ในปี 55 มีผู้เข้ารับการบำบัดจำนวน 7,738 ราย ซึ่งตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา สิ่งที่ทำให้ประสบความสำเร็จได้คือ การร่วมมืออย่างดีของกรมคุมประพฤติ กระทรวงสาธารณสุข และผู้ปกครอง อย่างไรก็ตาม สำหรับในปีงบประมาณ 56 นั้นกองทัพยืนยันยืนที่จะสนับสนุน ศพส. ในการบำบัดฟื้นฟูให้กับผู้ติดยาเสพติดอย่างเต็มกำลังความสามารถเพื่อให้กลับสู่สังคมเป็นพลังอำนาจเพื่อพัฒนาประเทศต่อไป