ศูนย์ประสานงานลูกหนี้ ยื่นหนังสือ กมธ.ป้องกันและปราบปรามการทุจรติ ขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง ผู้มีอำนาจทั้งกระทรวงพาณิชย์ แบงก์ชาติ กระทรวงการคลัง ก.ล.ต. และกระบวนการยุติธรรม ร่วมมือกับคนต่างชาติหากินบนหนี้เน่าประชาชน สร้างความทุกข์ให้ลูกหนี้
น.ส.กัลยาณี รุทระกาญจน์ เลขาธิการศูนย์ประสานงานลูกหนี้แห่งชาติ องค์กรสาธารณประโยชน์ พร้อมตัวแทนลูกหนี้ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร กรณีขบวนการทุจริตในการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพของวาณิชธนกิจข้ามชาติ ทำการเชิดบริษัทบริหารสินทรัพย์ในไทยให้เป็นเจ้าหนี้แทน จัดตั้งบริษัทนอมินีเพื่อทำประโยชน์ของคนต่างชาติ หลบเลี่ยงภาษีอากรของรัฐ ตัดต่อปลอมแปลงเอกสารยื่นศาลเพื่อใช้ศาลไทยเป็นเครื่องมือให้ได้ไปซึ่งสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินของลูกหนี้เกินจริงผลประโยชน์มูลค่าหลายหมื่นล้านบาท กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นได้เกี่ยวพันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน ได้แก่ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และศาลยุติธรรม
ทั้งนี้ การก่ออาชญากรรมหากินบนหนี้เน่าของประชาชนเกี่ยวพันกับหน่วยงานได้แก่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าที่ละเลยให้ที่การจัดตั้งบริษัทนอมินีถือหุ้นเพื่อประโยชน์ของคนต่างชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทยและผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องอนุญาตให้บริษัทต่างชาติเข้าซื้อหนี้จากสถาบันการเงินไทยแล้วอ้างว่าโอนสิทธิให้บริษัทบริหารสินทรัพย์นอมินีภายหลังโดยไม่มีกฎหมายรองรับ หลบเลี่ยงการเสียภาษีอากรให้รัฐ ไม่กำกับดูแลบริษัทบริหารสินทรัพย์ให้เป็นไปตาม พ.ร.ก.บริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ. 2551 และพ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 ให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ซึ่งถือเป็นสถาบันการเงินถูกครอบงำโดยชาวต่างชาติมีกรรมการเป็นชาวต่างชาติเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด
กระทรวงการคลังไม่กำกับดูแลให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ซึ่งมีประกาศให้เป็นสถาบันการเงิน แต่ละเลยไม่กำกับควบคุมดูแลให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ที่มีเงินทุนจดทะเบียนเพียง 25 ล้านบาทให้ อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551
คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ไม่กำกับดูแลให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ที่เป็นมหาชนพ้นจากการถูกครอบงำโดยไม่ตรวจสอบว่ามีผู้ถือหุ้นรายเดียวถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 10 ตามที่กฎหมายกำหนดโดยปล่อยให้บริษัทบริหารสินทรัพย์มีผู้ถือหุ้นสูงถึงร้อยละ 40 ซึ่งเป็นการกระทำผิดกฎหมาย ทั้งที่ธุรกิจสถาบันการเงินเป็นธุรกิจที่มีผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมาก จำเป็นจะต้องได้รับการตรวจสอบ ควบคุม อย่างเคร่งครัด ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องไม่ตรวจสอบแต่อย่างใด เมื่อองค์กรภาคประชาชนแจ้งให้ตรวจสอบแก้ไขลงโทษผู้กระทำผิดกลับจงใจละเว้นไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
ปัจจุบันวาณิชธนกิจชาวต่างชาติเหล่านี้ได้นำคดีเข้าสู่กระบวนยุติธรรม โดยมีการปลอมแปลงเอกสารตัดต่อเอกสารโดยมิได้ยำเกรงต่อกฎหมายไทย มีเหตุมากมายหลายประการทำให้เชื่อได้ว่าอาจมีการครอบงำกระบวนยุติธรรมหวังใช้ศาลฟอกตัวเองให้การกระทำผิดกฎหมายเป็นการกระทำให้ถูกกฎหมายโดยอาศัยโอกาสที่เป็นสถาบันการเงินเป็นที่น่าเชื่อถือของประชาชนกลบเกลื่อนการกระทำความผิดกฎหมายดังกล่าว ลูกหนี้ที่เปิดโปงการดำเนินการผิดกฎหมายของเจ้าหนี้กลับถูกกลั่นแกล้งจนในที่สุดลูกหนี้มอบอำนาจให้เลขาธิการศูนย์ประสานงานลูกหนี้แห่งชาติ ดำเนินคดีอาญาต่อตุลาการศาลล้มละลายกลางและศาลอาญา ซึ่งเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายเพื่อหวังให้ข้อเท็จจริงได้เข้าสู่ศาลอันจะเป็นประโยชน์ต่อลูกหนี้อีกเป็นจำนวนมากที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการของวาณิชธนกิจต่างชาติดังกล่าว
ศูนย์ประสานงานลูกหนี้แห่งชาติ องค์กรสาธารณประโยชน์จึงมายื่นหนังสือเพื่อขอให้คณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามทุจริตประพฤติมิชอบสภาผู้แทนราษฏร ตรวจสอบข้อเท็จจริงสอบสวนผู้เกี่ยวข้องขบวนการดังกล่าวเป็นการด่วนมากทั้งนี้เพื่ออำนวยควายุติธรรมให้เกิดแก่ประชาชนและเป็นการเยียวยาความเดือดร้อนของลูกหนี้ที่ได้รับจากขบวนการที่เกี่ยวพันกับการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพตลอดจนรับรู้ข้อเท็จจริงในการบังคับใช้ พระราชกำหนดบริหารสินทรัพย์ พ.ศ. 2541 ซึ่งตราขึ้นเพื่อรองรับวิกฤติเศรษฐกิจแต่ยังไม่ยกเลิกจนถึงปัจจุบันทำให้ลูกหนี้หายเสียหายจำนวนมาก และเป็นช่องว่างให้วาณิชธนกิจข้ามชาติเข้ามาสูบเลือดคนไทยได้