รายงานการเมือง
7 ชั่วโมงของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ 10 ชั่วโมงของ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ อดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ที่เข้าให้ปากคำต่อ “กรมสอบสวนคดีพิเศษ” (ดีเอสไอ) ในคดีสลายการชุมนุมของกลุ่ม “แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ” (นปช.) ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ถือว่ายาวนานมาก
ยาวนานเพราะต้องละเอียดกับการลำดับเหตุการณ์-ขั้นตอนการสั่งการ-คำสั่งของ ศอฉ. ที่ทั้ง “อภิสิทธิ์-สุเทพ” ต้องชี้แจง และเพราะ “อภิสิทธิ์-สุเทพ” ต้องตรวจทานเกือบทุกคำพูดของตนเองที่ดีเอสไอบันทึกเก็บไว้เป็นหลักฐาน
เรื่องนี้ “อภิสิทธิ์” ระบุว่า “ได้ชี้แจงข้อมูลตามข้อเท็จจริง และยังไม่ทราบว่าจะต้องเข้าให้ข้อมูลเพิ่มเติ่มต่อพนักงานสอบสวนอีกหรือไม่ เพราะไม่ทราบว่ายังติดใจประเด็นใดอีก โดยอาจจะกลับไปดูเอกสารว่าจำเป็นต้องส่งข้อมูลใดเข้าให้การเพิ่มเติมหรือไม่”
ขณะที่ “สุเทพ” ระมัดระวังไม่ให้เรื่องที่พูดส่งผลกระทบต่อ “อภิสิทธิ์” โดยระบุว่า “อดีตนายกฯมีภารกิจมาก ได้มอบหมายคำสั่งในเชิงนโยบาย ซึ่งผมในฐานะ ผอ.ศอฉ.จะเป็นผู้พิจารณาว่าจะดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ในขณะนั้นอย่างไร งานใน ศอฉ. นายอภิสิทธิ์ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้อง ทุกคำสั่งใน ศอฉ.ผมเป็นผู้ลงนามเอง”
อีกเรื่องที่ “คู่หูเทพประทาน” ต้องระมัดระวังคือ การออกคำสั่งของ ศอฉ. เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมามี “คำสั่งลับ” ของ ศอฉ.หลุดออกมาตาม “โลกไซเบอร์” มากมาย
โดยเฉพาะหนังสือคำสั่ง ศอฉ.ที่ กห.1407.55 (สยก.) ลงวันที่ 17 เมษายน 2553 เรื่องขออนุมัติแนวทางการปฏิบัติในการใช้อาวุธเพื่อรักษาความปลอดภัย ที่ตั้งหน่วยและสถานที่สำคัญ โดย “สุเทพ” ลงนามอนุมัติด้วยเอง ซึ่งในคำสั่งกำหนดให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้อาวุธยิงผู้ก่อเหตุ เพื่อหยุดยั้งการปฏิบัติได้ ให้จัดเตรียมพลแม่นปืน (Marksmanship) ที่มีขีดความสามารถเพียงพอให้ทำการยิงเพื่อหยุดยั้งการก่อเหตุได้ และสามารถร้องขอการสนับสนุนพลซุ่มยิง (Sniper) จาก ศอฉ.ได้
นี่คือสิ่งที่ยืนยันได้ว่า “ตำรวจมะเขือเทศ-ทหารแตงโม” กำข้อมูล-หลักฐานที่สามารถนำออกมาใช้เพื่อเล่นงานใครบางคนได้ตลอดเวลา
หากย้อนไปในช่วงการชุมนุมเริ่มแรกรัฐบาลอภิสิทธิ์ ประกาศบังคับใช้ “พ.ร.บ.ความมั่นคง” ในพื้นที่การชุมนุม โดยจัดตั้งศูนย์อำนวยการรักษาคามสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ขึ้นมาดูแลสถานการณ์ในภาพรวมทั้งหมด มี “สุเทพ” เป็น ผอ.ศอ.รส.
โดยการทำงานของ “ศอ.รส.” จะเน้นการเฝ้าระวังพื้นที่ ซึ่งใช้ “ตำรวจ” เป็นหน่วยหลักในการปฏิบัติภารกิจ กระทั่งการชุมนุมของ “นปช.” เริ่มขยายวงกว้างขึ้น “ศอ.รส.” จึงประเมินร่วมกันว่าการชุมนุมมีพัฒนาการที่ส่อให้เกิดความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น จึงจำเป็นที่จะต้องใช้ “ยาแรง” ที่มีอำนาจมากกว่า “พ.ร.บ.ความมั่นคง” เข้าไปควบคุมสถานการณ์
“อภิสิทธิ์” นายกฯในตอนนั้น จึงเพิ่มอำนาจตามกฎหมาย โดยประกาศบังคับใช้ “พ.ร.ก.การบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉิน” พร้อมจัดตั้ง “ศอฉ.” เข้ามาควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด เพราะหวังว่าการใช้ควบคุมสถานการณ์
โครงสร้างของ “ศอฉ.” ต่างจาก ศอ.รส. ที่เน้นการทำงานร่วมกัน “ทหาร” เป็นหลัก
และก็เป็น “สุเทพ” ที่ขันอาสานั่งเป็น ผอ.ศอฉ.แทนที่ “อภิสิทธิ์” และมี “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในขณะนั้น เป็นรองผู้อำนวยการ “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน พร้อมออกข้อกำหนดต่างๆ มาควบคุมการชุมนุม เช่น ห้ามประชาชนชุมนุมเกิน 5 คน ห้ามเข้า-ออกในพื้นที่ที่กำหนด สั่งปิดเว็บไซต์-สถานีวิทยุ-ช่องทางการสื่อสารต่างๆ ที่เห็นว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง เป็นต้น
ว่ากันว่า ในการประกาศใช้ “พ.ร.บ.ความมั่นคง” และ “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” เจ้าหน้าที่รัฐหลายคนแสดงความเป็นห่วงว่าอาจจะเป็น “แพะรับบาป” ของ “ฝ่ายการเมือง” เหมือนการสลายการชุมนุมกลุ่ม “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” (พธม.) ที่หน้าอาคารรัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 สมัยรัฐบาล “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” โดยเฉพาะ “ตำรวจ” ที่ต้องโดนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลให้มีความผิดวินัยร้ายแรง
เป็นที่มาของ “สัญญาใจ” ที่ “อภิสิทธิ์-สุเทพ” ประกาศกลางวงประชุมว่า “ฝ่ายการเมือง” จะรับผิดชอบทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง “เจ้าหน้าที่รัฐ” สามารถปฏิบัติงานได้เต็มที่ โดยไม่ต้องห่วงผลที่จะตามมา
คำมั่นสัญญาของ “อภิสิทธิ์-สุเทพ” เป็นเหมือนแรงผลักดันให้ “เจ้าหน้าที่รัฐ” ทำงานอย่างเต็มกำลัง แต่ด้วยหลายปัจจัยที่ “คาดไม่ถึง” อาทิ ชายชุดดำ จำนวนผู้ชุมนุม เป็นต้น ผลจึงออกมาผิดไปจากที่คาดการณ์เอาไว้ ความเสียหายสูงกว่าที่ประเมินกัน
ความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ของ “อภิสิทธิ์-สุเทพ” จึงต้องสูงขึ้นตามไปด้วย
ยิ่งเมื่อสถานการณ์ทางการเมืองเปลี่ยน “อดีตฝ่ายรุก” อย่างประชาธิปัตย์ต้องมาเป็น “ฝ่ายตั้งรับ” จากการรุกใส่ของ “เครือข่ายนายใหญ่” ทั้งลูกหาบที่เป็น “คนเสื้อแดง”