“เว็บประชาไท” ยี้ “โอ๊ค” ยุฆ่าตัดตอนดะ อัดขัดหลักสิทธิมนุษยชน

ผลสำรวจ “เฟซบุ๊กประชาไท” พบร้องยี้ “พานทองแท้” ลูกทักษิณปากพล่อย ฆ่าตัดตอนยาเสพติดให้สูญพันธุ์ ชี้ขัดกับหลักสิทธิมนุษยชน ทิ้งห่างเสียงที่เห็นด้วย อ้างสละคนส่วนน้อยเกินครึ่ง แต่หลายเสียงตั้งข้อสงสัย “จิตรา” อดีตแกนนำไทรอัมพ์เผยมีการใช้ยาเสพติดกลั่นแกล้ง ไม่มีการหาข้อเท็จจริง ตัวการใหญ่ยังใช้ชีวิตปกติ ส่วน “จรรยา” นักกิจกรรมแรงงานเผยถ้าประชาชนไม่ไว้วางใจกระบวนการยุติธรรมประเทศจะสงบสุขอย่างไร

วันนี้ (27 ส.ค.) มีรายงานว่า เฟซบุ๊กประชาไทได้มีการตั้งแบบสำรวจ “ประชาไทโพลล์” กรณีที่นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมตรี ออกมาแสดงความเห็นว่า “ส่วนพ่อค้ายานั้น อย่าว่าแต่ 2,500 ศพเลยครับ ตายไปให้หมดประเทศจะกี่หมื่นกี่แสนคน เอาแบบให้สาบสูญ หรือสูญพันธุ์ไปจากประเทศไทยเลย มีแต่คนเขาสรรเสริญทั้งนั้น” ท่านคิดอย่างไร โดยผลสำรวจ ณ เวลา 14.00 น. ที่ผ่านมา พบว่าอันดับหนึ่ง มองว่า “ไม่เห็นด้วยเนื่องจากขัดกับหลักสิทธิมนุษยชน” โดยมีผู้ร่วมโหวตสูงถึง 121 คน อันดับสองมองว่า “เห็นด้วย เนื่องจากเป็นการสละคนส่วนน้อยที่สร้างผลกระทบต่อคนส่วนใหญ่” มีผู้ร่วมโหวต 55 คน

อันดับสาม “ถ้าเป็นพ่อค้ายาจริงๆ ต่อสู้ขัดขืนการจับกุมก็ใช่ ถ้ายอมมอบตัวแต่โดนเก็บล่ะ” มีผู้ร่วมโหวต 30 คน และอันดับสี่มองว่า “การให้อำนาจกับใครมากเกินไป มีผลเสียเสมอแหละ คนทำผิดก็ควรได้รับโอกาสบ้าง” มีผู้ร่วมโหวต 9 คน นอกจากนี้ยังมีความคิดเห็นอื่นๆ อีก 14 คน อาทิ การตัดตอนคนไม่ดี ที่ดีควรจับมาตัดสินโทษก่อน แต่ให้โทษหนัก ประหารเป็นหลัก, เห็นด้วยเนื่องจากคนตายคือพ่อค้ายาเสพติดเป็นอาชญากรร้ายแรง, ควรใช้กระบวนการยุติธรรมตามหลักสิทธิมนุษยชน ไม่ใช่ศาลเตี้ย, กฎหมายไทยโทษเบาไป จะฆ่าทิ้งก็บอกขัดหลักสิทธิ ไม่ฆ่าออกคุกก็มาทำอีก, เขาเตือนแล้วไม่หยุดก็สมควรตายซะ สันดานทำลายชาติเข้าเส้นเลือดแล้ว, ไม่เห็นด้วยผิดศีลปาณาฯ เนื่องจากเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ เป็นต้น

สำหรับความคิดเห็นจากผลสำรวจพบว่ามีประเด็นที่น่าสนใจ โดยนางสาวจิตรา คชเดช อดีตประธานสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า การเข้าจับกุมและมีการยิงต่อสู้อันนี้คือวิสามัญฆาตกรรม แต่การฆ่าตัดตอนที่เคยเห็นที่สุพรรณคือ คนที่เสพหรือสายส่งถูกยิงทิ้งโดยมียาเสพติดอยู่ในตัว คดีแบบนี้สรุปว่าเป็นการตายที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดเลยไม่มีการสืบค้นข้อเท็จจริง และมีการกลั่นแกล้งกันโดยใช้เรื่องยาเสพติดมาเป็นเครื่องมือ เพราะการตายการปราบปรามยาเสพติดมีผู้บริสุทธิ์ตายไปเท่าไหร่ไม่มีการหาข้อเท็จจริง แต่ตอนนั้นยอมรับว่าเรื่องยาเสพติดมันเงียบหาย จิตรายังได้น้องชายกลับคืนมาแต่เพื่อนๆ เขาก็ถูกยิงทิ้งไปหลายคน แต่ตัวการใหญ่ยังใช้ชีวิตปกติจนทุกวันนี้ และเดี๋ยวนี้ก็ทำอาชีพเดิม

“ไม่นะ เราไม่สนับสนุนการฆ่าเพื่อนมนุษย์ด้วยกันไม่ว่ากรณีใดๆ อย่ามองการฆ่าผู้อื่นเป็นเรื่องที่ดี งั้นเราคงต้องใช้กำลังกันไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบ นักโทษประหารชีวิตจาการค้ายาเสพติดไม่น่าเชื่อคนมางานศพหลายพันวัดที่บ้านสุพรรณ แสดงว่าเขาก็ต้องมีมุมที่ดีที่เราไม่เห็น ทุกชีวิตมาค่าเท่ากัน”นางสาวจิตรา กล่าว

สอดคล้องกับนางจรรยา ยิ้มประเสริฐ นักกิจกรรมด้านแรงงานและสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า เมื่อมองในฐานแห่งหลักการ นี่คือหัวใจแห่งการดำรงอยู่ร่วมกันอย่างสงบภายใต้กระบวนการกฎหมายที่ยุติธรรม และเชื่อมั่นได้ หน้าที่ของรัฐบาลคือการออกพระราชบัญญัติและกฎหมายต่างๆ เพื่อสร้างหลักประกันว่าทุกระบบในสังคม โดยเฉพาะระบบที่ให้คุณให้โทษ และชี้เป็นชี้ตายได้ จะตั้งมั่นอยู่ในหลักการแห่งความยุติธรรมสากล ตามคำประกาศสิทธิมนุษยชนสากล ที่ไทยและทุกประเทศนี้ให้สัตยาบัน โดยนำมาเป็นกรอบแห่งการวางหลักการแห่งกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมในประเทศ ถ้าประชาชนไม่วางใจในกระบวนการยุติธรรม และไม่เคารพความแตกต่าง ทั้งยังยุยงและโห่ร้องใชโยให้ฆ่าคนคิดต่างได้ ประเทศจะสันติสุขและสงบสุขได้อย่างไร

ส่วนนายฤทธิชัย ชูวงษ์ นักกิจกรรมและอดีตสมาชิกเครือข่าย 19 กันยาฯ ต้านรัฐประหาร มองว่า ประเด็นนี้มันจะพิสูจน์ว่า แท้จริงแล้วคนเสื้อแดงบางส่วนกับเสื้อเหลืองบางส่วน (อาจจะส่วนใหญ่เลย) มีจุดร่วมของฐานคิดที่เหมือนกันหรือไม่ เพียงแต่แค่อยู่คนล่ะฝั่งเท่านั้นเอง โดยฐานคิดของทั้งสองฝ่ายยอมรับ การลงโทษ ด้วยการฆ่า โดยไม่ต้องผ่านการพิจารณาคดีได้ เพียงแค่ คนที่เรามองว่าเป็นคนชั่วเท่านั้น ก็ฆ่าให้ตายได้โดยไม่ต้องเข้าสู้กระบวนการยุติธรรมก่อนได้ อีกเรื่องที่ เหมือนกันคือ ฐานคิดของคนเหล่านี้มองว่า คนทำผิด คนชั่ว ไม่สามารถกลับตัว หรือทำประโยชน์ให้กับสังคมได้อีกแล้ว แน่นอนคนพวกนี้ย่อมยอมรับโทษประหารแน่นอน และที่สำคัญ วิธีคิดแบบนี้ ใช้ความรู้สึกตัดสินว่าผิดหรือไม่ผิด โดยที่มีหลักฐานหรือไม่มีหลักฐานก็ได้ ดังนั้น กรณีน้องโบว์ก็สมควรตาย กรณีอากง ก็สมควรตายในมุมมองของฝ่ายตรงข้าม

“แน่นอนครับ กรณีนี้ โอ๊ค ซึ่งเป็นฝ่ายเสื้อแดงเป็นคนพูด ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีที่พวกเสื้อแดงที่คิดว่า ตัวเองรักประชาธิปไตย จะออกมาวิพากษ์ เพื่อให้โลกเห็นว่า กูหลุดจากคำว่า พวกกูพวกมึงแล้ว” นายฤทธิ์ชัย กล่าว

สำหรับข้อความของนายพานทองแท้ ถูกโพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก Oak Panthongtae Shinawatraเมื่อวานนี้ (26 ส.ค.) ระบุว่า “เจอคุณพ่อที่ปักกิ่งเที่ยวนี้ ผมได้เล่าให้คุณพ่อฟังเรื่องที่พรรคประชาธิปัตย์ พยายามชี้แจงเรื่อง 98 ศพจากการสลายการชุมนุม ด้วยการเปรียบเทียบว่า ยังน้อยกว่าสมัยที่คุณพ่อปราบยาเสพติดจนแทบจะหมดจากประเทศไทย ส่งผลทำให้มีการฆ่าตัดตอน 2,500 ศพ คุณพ่อถึงกับอึ้งในวิธีคิดตอบโต้ ของพรรคเจ้าหลักการที่ชื่อ ปชป. เลยครับ

ไม่ทราบว่าเขาเอา Logic แบบไหนมาเปรียบเทียบ เพราะการสลายการชุมนุมนั้น ไม่ได้มีผู้เดือดร้อนเฉพาะผู้เสียชีวิต 98 ท่านเท่านั้น แต่ย่อมหมายรวมถึงญาติพี่น้องของผู้สูญเสีย, ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและพิการอีกกว่า 2,000 คน อันประกอบด้วย ผู้ที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย, ออกมาเรียกร้องความชอบธรรม และความเสมอภาคไม่เป็น 2 มาตรฐาน, รวมถึงตำรวจ-ทหารที่บาดเจ็บและเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่

ส่วนการ "ฆ่าตัดตอน" นั้น เขาหมายถึงการที่ผู้ค้ายาด้วยกันเองเกรงว่า ผู้ร่วมกระทำผิดจะซัดทอดสาวมาถึงตัว จึงจำเป็นต้องฆ่าปิดปาก ไม่ได้หมายถึงการฆ่าผู้ค้ายาโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ แบบนั้นเขาเรียก "วิสามัญฆาตรกรรม" หรือ "จับตาย" ซึ่งการที่จะกระทำได้ ต้องมีองค์ประกอบอื่นๆในขั้นตอนปฏิบัติอีกเยอะครับ

ลองถามคนที่เป็นกลางๆ "ไม่เหลือง,ไม่แดง,ไม่แมลงสาบ" ดูสิครับ ว่าเขาคิดอย่างไร ระหว่าง

1) ในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ฯ ผู้ที่ออกมาเรียกร้อง ปชต. ต้องสูญเสียชีวิตไป 98 คน จากการสลายการชุมนุม

2) ในสมัยรัฐบาลทักษิณฯ นักค้ายาเสพติดซึ่งถือว่าเป็น ผู้ที่นำพาสิ่งที่เลวร้ายมาสู่ลูกหลานไทย ถูกกดดันปราบปรามจากภาครัฐอย่างจริงจัง จนกระทั่งฆ่าตัดตอนกันเอง ส่งผลให้ยาเสพติดแทบจะหมดไปจากผืนแผ่นดินไทย

ผมลองถามหลายท่านแล้ว ล้วนแต่ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า การสลายการชุมนุมทางการเมืองจนมีคนตาย 98 คนนั้น รุนแรงและโหดร้ายเกินไป

ส่วนพ่อค้ายานั้น อย่าว่าแต่ 2,500 ศพเลยครับ ตายไปให้หมดประเทศจะกี่หมื่นกี่แสนคน เอาแบบให้สาบสูญ หรือสูญพันธุ์ไปจากประเทศไทยเลย มีแต่คนเขาสรรเสริญทั้งนั้น ดูเหมือนจะมีแต่พรรคประชาธิปัตย์หรือเปล่าครับ ที่ดูจะเป็นห่วงเรื่องนี้เสียจริง”