“อภิสิทธิ์” ห่วง หลัง ครม.ลักไก่ออกระเบียบยกเว้นการจัดซื้อจัดจ้างจากเงินกู้ เปิดช่องทุจริต ระบุหลายโครงการมีการถ่วงเวลารอใช้เงินกู้ เพราะตรวจสอบยาก ติงรัฐมุ่งซุกหนี้-ผลาญเงิน ไม่สนเสียงเตือนจะทำเศรษฐกิจพัง แนะเตรียมตั้งรับหลังเศรษฐกิจโลกยังผันผวน แถมผลค่าแรง 300 บ.ทำแรงงานก่อสร้างตกงานแล้วกว่า 1 หมื่นราย จวกเมกะโปรเจกต์ไปไม่ถึงเศรษฐกิจรากหญ้า
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ยังยืนยันจะกู้เงินในกรอบ 2 ล้านล้านบาทว่า อยากให้รัฐบาลไปศึกษาเรื่องระบบงบประมาณและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ รวมทั้งหลักการในเรื่องการเงินการคลังให้ดี ความพยายามที่จะใช้การกู้เงินเพื่อเลี่ยงระบบการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งมีความชัดเจนว่ารัฐบาลจะใช้วิธีการยกเว้นการจัดซื้อจัดจ้างทั้งหมดกับเงินกู้ โดยอ้างเพื่อความสะดวกรวดเร็ว แต่ว่าขาดการตรวจสอบ ขาดความโปร่งใส และยังทำให้ตัวเลขทางการเงินการคลังมีความสับสน เพราะเอาหนี้ไปว่อนแทนที่จะปรากฏอยู่ในระบบงบประมาณจะไม่เป็นผลดีต่อประเทศ
“ตัวระเบียบยังไม่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เนื่องจากเพิ่งมีมติ ครม.เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่ไม่น่าจะถูกต้องที่อยู่ดีๆ รัฐบาลจะใช้จ่ายเงินโดยปราศจากระเบียบมารองรับ ผมเป็นห่วงว่าจะเป็นการเปิดช่องทำให้มีการทุจริตมากขึ้น เพราะมีข่าวว่าหลายโครงการในระบบงบประมาณเดินช้า เนื่องจากผู้ที่เกี่ยวข้องหวังว่าจะไปใช้เงินกู้แทน และสามารถที่จะทำให้ไม่มีความเข้มงวดกวดขันในเรื่องของระเบียบได้”
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า สภาพเศรษฐกิจในขณะนี้ไม่ใช่สถานการณ์ที่จะอยู่ในความประมาทเพราะฉะนั้นเมื่อหนี้สาธารณะก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ยังไม่ทราบว่าวันข่างหน้าจะมีความจำเป็นที่จะต้องใช้จ่ายเงินเพื่อรองรับวิกฤตอย่างไร รัฐบาลไม่ควรคิดแต่จะใช้เงินมากๆ และใช้แบบง่ายๆ โดยไม่มีการตรวจสอบ ตนจึงเห็นว่ารัฐบาลควรจะทบทวนงบประมาณในโครงการที่ไม่เกิดผล เพื่อสะสมกำลังเอาไว้รองรับวิกฤตที่อาจจะเกิดขึ้น เพราะในขณะนี้ยอดคนว่างงานในภาคการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทก็พุ่งสูงถึงกว่า 1 หมื่นรายแล้ว รัฐบาลจะต้องมีมาตรการที่เป็นรูปธรรมมารองรับ การไปพูดถึงแต่เรื่องการใช้จ่ายเงินหลายแสนล้าน สุดท้ายเงินเหล่านั้นก็จะถูกใช้ไปไม่กี่โครงการตามแนวคิดของรัฐบาล แต่ไม่ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ลงลึกไปถึงประชาชนอย่างแท้จริง