“ชวนนท์” ประณามรัฐน่าละอาย โทษฝ่ายค้านตรวจสอบเรื่องนาซาขอใช้อู่ตะเภา ซัดไร้ประสิทธิภาพ-หมกเม็ด แต่เลือกโต้ตอบทางการเมืองกลบเกลื่อน จี้ “นายกฯ ปู” ปลดทิ้งเหตุทำชาติขัดแย้ง งัดเอกสารบัวแก้วชงเข้า ครม.จับโกหก “ปึ้ง” รู้ล่วงหน้านาซาต้องขนอุปกรณ์ “ปลอด” พยายามโยงจิสดาป้ายสีรัฐบาลที่แล้ว แถม สมช.-ผู้แทนเหล่าทัพตั้ง 6 คำถามแสดงความเป็นห่วงแต่ไร้คำตอบ
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง "นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต ให้สัมภาษณ์"
วันนี้ (27 มิ.ย.) นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวประณามรัฐบาลว่ามีพฤติกรรมน่าละอายในการโทษฝ่ายตรวจสอบกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ไม่อนุมัติให้นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ลงนามในหนังสือสัญญาแลกเปลี่ยนกับสหรัฐอเมริกา ตามที่องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือนาซา ขอใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็นฐานปฏิบัติการสำรวจก้อนเมฆ โดยเปรียบว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่แตกต่างจากมีเพื่อนบ้าน เห็นโจรจะขึ้นบ้านตะโกนร้องบอกให้ตำรวจจับ แต่คนเป็นเจ้าของบ้านแทนที่จะขอบคุณ กลับโทษเพื่อนบ้านที่ตะโกนให้จับโจร พร้อมกับชี้ว่ารัฐบาลไร้ประสิทธิภาพ มีการหมกเม็ดในการบริหาร ทำให้เรื่องนี้ปัญหาบานปลายออกไป
“รัฐบาลเลือกที่จะไม่ชี้แจงข้อมูลข้อเท็จจริง แต่เลือกตอบโต้ทางการเมือง ตั้งแต่นายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์ฯ เริ่มค้นเอกสารกล่าวโทษว่าเป็นโครงการสมัยพรรคประชาธิปัตย์ ใช้การเมืองมาแก้ปัญหาทำให้ไม่ได้รับการแก้ไข จนโครงการต้องพับไปเพราะเล่นเกมการเมืองมากเกินไป ดังนั้น ผู้ที่ต้องรับผิดชอบ คือ นายปลอดประสพ และนายสุรพงษ์ ทั้งสองคนต้องพิจารณาตัวเอง โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องพิจารณาเปลี่ยนรัฐมนตรีสองตำแหน่งนี้ เพราะดำเนินการทำให้ชาติขัดแย้ง สังคมเกิดความสับสน นานาชาติเกิดความคลางแคลงใจ ถ้าไม่ปลด ชาติจะเสียหาย รวมถึงแสดงว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์สนับสนุนสิ่งที่นายปลอดประสพ และนายสุรพงษ์ทำด้วย” นายชวนนท์กล่าว
นายชวนนท์กล่าวต่อว่า ตนชี้ให้เห็นถึงข้อผิดพลาดของนายสุรพงษ์ โดยนำเอกสารกระทรวงการต่างประเทศลงวันที่ 4 มิ.ย. 55 ที่นำเสนอต่อ ครม.ระบุถึงเรื่องเดิมของโครงการว่าเริ่มต้นในเดือน มี.ค. 2554 ไม่มีการกล่าวถึงการลงนามระหว่างประธานจิสดา และนาซา ในวันที่ 28 ก.ย. 2553 ตามที่นายปลอดประสพ และนายสุรพงษ์มาแถลงต่อสาธารณชน อีกทั้งในหนังสือฉบับเดียวกันยังระบุถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องให้ ครม.พิจารณาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 12 มิ.ย. 55 เนื่องจากมีเงื่อนไขเรื่องการขนอุปกรณ์มาดำเนินโครงการของนาซาที่ต้องทำให้เสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด เท่ากับว่านายสุรพงษ์รับทราบดีว่านาซามีข้อจำกัดเกี่ยวกับการขนอุปกรณ์และมีกรอบเวลาดำเนินการอย่างไร แต่กลับปล่อยปละละเลย จนเวลาล่วงเลยไปโดยไม่มีการชี้แจงความจริงต่อคำถามที่สังคมมีความสงสัย
ในเอกสารฉบับเดียวกัน ยังมีการระบุถึงข้อห่วงใย ของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กระทรวงกลาโหมและผู้แทนเหล่าทัพ 6 ข้อ คือ 1. การดำเนินข้อมูลไปใช้ประโยชน์ทางทหารหรือเศรษฐกิจ 2. การสร้างความหวาดระแวงประเทศเพื่อนบ้านของไทยรวมทั้งจีน 3. การบินผ่านพื้นที่ชายแดนไทยและการลงจอดฉุกเฉินในประเทศเพื่อนบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต 4. การบินผ่านเขตหวงห้ามของไทย 5. การซ่อนเร้นอุปกรณ์ที่นอกเหนือจากอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ และ 6. การกระตุ้นให้ฝ่ายต่อต้านสหรัฐฯ ก่อการก่อการร้ายในประเทศไทย
“จะเห็นได้ว่าข้อท้วงติงในโครงการนี้นั้นไม่ใช่มีเพียงแค่ข้อสงสัยของฝ่ายค้าน แต่เป็นข้อสงสัยของหน่วยงานความมั่นคงหลายหน่วยงาน โดยที่รัฐบาลและสหรัฐฯ เองก็ยังไม่สามารถให้ความมั่นใจและตอบคำถามในเรื่องนี้ อีกทั้งเลขาฯ ครม.ก็ระบุชัดว่ายังไม่มีความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงพิจารณาไม่ได้ในการประชุม ครม. วันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมา ดังนั้นการที่โครงการนี้เดินหน้าต่อไม่ได้จึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับฝ่ายค้าน แต่เป็นเพราะรัฐบาลไม่สามารถตอบคำถามหน่วยงานราชการด้านความมั่นคง และคำถามที่สาธารณชนสงสัยได้ พรรคเพียงแต่ทำหน้าที่ตรวจสอบเพื่อให้เกิดความรอบคอบอันจะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อบ้านเมืองเท่านั้น” นายชวนนท์กล่าว
นายชวนนท์กล่าวด้วยว่า ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์นำเสนอความจริง นายสุรพงษ์กลับโกหกประชาชนอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากเอกสารของกระทรวงการต่างประเทศที่ทราบถึงกรอบเวลาดำเนินการของนาซา แต่ไม่เคยให้รายละเอียดเหล่านี้กับประชาชน เมื่อถูกตรวจสอบจากฝ่ายค้านก็อ้างว่าไม่ทราบเรื่อง ทั้งที่เอกสารฉบับนี้มัดชัดเจนว่านายสุรพงษ์รับรู้เรื่องมาโดยตลอด แต่กลับมีเจตนาโกหกประชาชน โกหกประเทศเพื่อนบ้าน มีพฤติกรรมหมกเม็ดข้อเท็จจริง
ทั้งนี้ สิ่งที่มัดว่านายสุรพงษ์และนายปลอดประสพโกหกอีกเรื่อง เกี่ยวกับการนำเรื่องการลงนามระหว่างประธานจีดากับประธานนาซาในวันที่ 28 ก.ย. 2553 เพื่อโยนความรับผิดชอบให้รัฐบาลอภิสิทธิ์เป็นการโกหกประชาชน คือในเอกสารฉบับเดียวกันกระทรวงการต่างประเทศเสนอขอให้ ครม.อนุมัตให้จีสดาเข้ามาเป็นผู้ประสานงานโครงการร่วมกับนาซา แสดงให้เห็นว่าจีสดาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการนี้ แต่ถูกดึงเข้ามาร่วมรับผิดชอบในภายหลัง หากจีสดาคือหน่วยงานตั้งต้นอย่างที่นายปลอดประสพกล่าวอ้าง โครงการนี้ต้องตั้งเรื่องจากกระทรวงวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่กระทรวงการต่างประเทศ
“แต่ที่ต้องชงเรื่องโดยกระทรวงการต่างประเทศเข้า ครม. เพราะเรื่องนี้มีการประสานจากสถานทูตสหรัฐมาที่กระทรวงการต่างประเทศในเดือน มี.ค. 2554 ซึ่งเป็นช่วงปลายรัฐบาลอภิสิทธิ์ และไม่ได้มีการตัดสินใจในระดับนโยบายใดๆ ทั้งสิ้น จนกระทั่งมีการเปลี่ยนรัฐบาล โครงการนี้จึงเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลชุดนี้โดยตรง ถ้ารัฐบาลเห็นว่าเป็นโครงการที่มีประโยชน์ต้องเตรียมความพร้อมที่จะดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎระเบียบของประเทศไทย แต่กลับไม่มีความพยายามที่จะดำเนินการให้เกิดความโปร่งใส ทั้งที่ในช่วงเวลาดังกล่าวสภายังไม่ปิดสามารถดำเนินการได้ ซึ่งจะทำโครงการได้ทันตามที่นาซากำหนดแต่รัฐบาลก็ไม่ทำ” นายชวนนท์กล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวด้วยว่า นายสุรพงษ์ยังมีพฤติกรรมกลับไปกลับมาโดยก่อนหน้านี้อ้างถึงความเห็นของกรมสนธิสัญญาและกฎหมายกระทรวงการต่างประเทศว่าเรื่องนี้ไม่เข้ามาตรา 190 (2) แต่มีรายงานข่าวว่านายสุรพงษ์กลับเปลี่ยนความเห็นในการประชุม ครม.โดยอ้างว่ากรมสนธิสัญญาฯ ระบุว่า กรณีนี้เข้ามาตรา 190 (2) พฤติกรรมเช่นนี้แสดงว่ารู้ดีว่ากำลังจะเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมาย สุ่มเสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดีเหมือนที่เคยเกิดกับนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีในเวลานั้น และนายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศในเวลานั้น จากกรณีออกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา สนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียวจนเกิดปัญหามาถึงปัจจุบัน จึงได้พยายามปกปิด แต่ถูกตรวจสอบจนกลับลำไม่ทันหันมาโทษฝ่ายค้านแทน คนเหล่านี้ไม่สมควรเป็นรัฐบาลของประเทศไทย รู้สึกเสียใจและขอประนามรัฐบาลชุดนี้
“สิ่งที่น่าอนาถและน่าละอายใจแทนนายสุรพงษ์ คือ ที่บอกถ้าปีนี้น้ำท่วมโทษฝ่ายค้าน โกหกขนาดนี้อย่าว่าแต่เป็นรัฐมนตรีเลย เป็น ส.ส.ก็แย่แล้ว เพราะการสำรวจเมฆของนาซา กับน้ำท่วมปีนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน เนื่องจากต้องมีการประมวลผล ซึ่งอาจใช้ได้ในปีหรือสองปีถัดไป และไม่ได้หมายความว่าจะใช้แก้ปัญหาอุทกภัยได้ทันทีด้วย แต่ยังหลอกประชาชนและจับสังคมไทยเป็นตัวประกันด้วยการข่มขู่ว่าถ้าไม่ทำโครงการนี้ประชาชนจะตกอยู่ในความเสี่ยงต่อปัญหาอุทกภัย พฤติกรรมเหมือนแกนนำ นปช.ไม่มีผิดที่จับประชาชนเป็นตัวประกันอยู่ข้างถนน อีกฝ่ายจับประชาชนเป็นตัวประกันในทำเนียบรัฐบาล ทำให้คนเหล่านี้อยู่ด้วยกันได้” นายชวนนท์กล่าว