ผ่าประเด็นร้อน
ท่ามกลางความสับสนเกี่ยวกับข่าวที่รัฐบาลไทยจะทำข้อตกลงกับสหรัฐอเมริกา เพื่อให้องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือนาซา เข้ามาดำเนินโครงการศึกษาการก่อตัวของเมฆ ที่มีผลกระทบต่อสภาวะภูมิอากาศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในประเทศไทย
ว่าตกลงแล้วจะเป็นเพียงแค่การวิจัย หรือจะมีสอดไส้ยุทธศาสตร์ทางการทหาร เพื่อเข้ามาถ่วงดุลกับพญามังกรอย่างจีน
รัฐบาลไทยกลับทำในสิ่งที่ต้องเรียกว่า “ใจดำ” สำหรับประเทศไทยอย่างยิ่ง เพราะแทนที่จะให้ข้อมูลอย่างเปิดเผยโปร่งใส กลับพยายามเบี่ยงเบนให้ความสงสัยของสังคมและการตรวจสอบจากภาคส่วนต่างๆ กลายเป็นประเด็นทางการเมืองใส่ร้ายรัฐบาล โดยไม่ตอบคำถามใดๆ ให้สังคมคลายความกังวล
แต่กลับเพิ่มความสับสนมากขึ้นด้วยการกล่าวหาสะเปะสะปะกลบกระแสความไม่ชอบมากพากลเกี่ยวกับโครงการนี้ เลวร้ายไปกว่านั้นรัฐบาลยังทำลายความน่าเชื่อถือของตัวเองด้วยการโกหกประชาชนหน้าตาเฉยว่า
“จีนมีความเข้าใจเรื่องนี้ เพราะนาซาก็เคยไปสำรวจที่ฮ่องกง ซึ่งจีนไม่เดือดร้อน”
เป็นคำพูดจากปากของนาย สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ที่นั่งโต๊ะแถลงร่วมกับนาย ปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.55
แต่คำโกหกที่ไร้ความรับผิดชอบต่อประเทศชาติก็ถูกจับได้ไล่ทันในเวลาอันรวดเร็ว จากโลกโซเชียลมีเดีย ที่มีการเข้าไปตรวจสอบในเว็บไซต์ของนาซา htt://espo.nasa.gov/missions/seac4rs พบว่า สิ่งที่รัฐบาลบอกกับประชาชนเป็นเรื่องโกหก และมีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านเฟซบุ๊กอย่างกว้างขวาง
“ข้อมูลจาก NASA เกี่ยวกับโครงการ SEAC4RS เป็นการศึกษาชั้นบรรยากาศในด้านวิทยาศาสตร์ ไม่เคยได้รับอนุญาตจากรัฐบาลจีนให้มีการทำวิจัยสำรวจที่ฮ่องกง และสำนักข่าวซินหัวซึ่งเป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลจีนยังแสดงความกังวลในเรื่องนี้ด้วย”
สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ครั้งแรกที่รัฐบาลชุดนี้โกหกคนไทย แต่เป็นการพูดเท็จครั้งที่เท่าไหร่มิอาจจะนับได้ถ้วน เพราะหลังจากที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์เข้ามามีอำนาจ ประเทศชาติก็ตกอยู่ในภาวะที่มี “รัฐบาลสับขาหลอกประชาชนทุกวันมาเกือบ 1 ปีแล้ว”
เมื่อความน่าเชื่อถือของรัฐบาลติดลบ แถมยังมีเงาของ นักโทษชายทักษิณ ไปปรากฏตัวหลอกหลอนคนไทยอยู่ที่สิงคโปร์ ในวันเดียวกับที่ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ประชุมแชงกรี-ลา ไดอะล็อก ร่วมกับ รมว.กลาโหมสหรัฐอเมริกา และมีการหยิบยกประเด็นความร่วมมือดังกล่าวขึ้นมาหารือ ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่งที่สังคมจะตั้งข้อสงสัยว่ามีการนำผลประโยชน์ชาติไปแลกกับผลประโยชน์ส่วนตัวของนักโทษชาย ที่กำลังวิ่งเต้นทุกวิถีทางเพื่อขอวีซ่าเข้าสหรัฐอเมริกาหรือไม่
แต่ที่น่าเศร้าไปกว่านั้น คือ หน่วยงานด้านความมั่นคงก็เพิกเฉยกับเรื่องที่คนไทยจำนวนไม่น้อยกังวลว่า อาจกลายเป็นภัยคุกคามชาติ นำประเทศเข้าไปอยู่ตรงกลางระหว่างการโรมรันของพญาอินทรีกับพญามังกร
คงมีเพียงแค่ข้อกังวล 6 ข้อของ สมช.ที่ถูกนำมาเปิดเผย คือ 1. นาซาระบุว่าบินผ่านน่าน้ำสากลและประเทศที่ให้ความยินยอมเท่านั้น แต่ประเทศเพื่อนบ้านอาจมีความกังวลจนเกิดความหวาดระแวง 2. อาจมีการนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ประโยชน์ด้านยุทธศาสตร์การทหาร 3. การบินผ่านพื้นที่ชายแดนและบินจอดฉุกเฉินโดยไม่ต้องอนุญาต 4. การบินผ่านเขตหวงห้ามของไทยทั้งพื้นที่การทหารและเขตพระราชฐาน 5. การซ่อนยุทโธปกรณ์นอกเหนือจากอุปกรณ์วิทยาศาสตร์จะป้องกันได้อย่างไร และ 6. จะกลายเป็นการกระตุ้นกลุ่มที่ต่อต้่านสหรัฐอเมริกาให้เข้ามาก่อการร้ายในประเทศไทยหรือไม่
นอกจากนี้ยังพบความผิดปกติเกี่ยวกับการสำรวจโครงการนี้ ที่มี บริษัท เชฟรอน ที่ได้รับสัมปทานขุดเจาะน้ำมันในบริเวณพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา จากเขมรเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย โดยที่นาซาก็ไม่สามารถให้คำตอบกับตัวแทนของ สมช.ที่สอบถามได้ว่า การสำรวจก้อนเมฆเกี่ยวข้องกับบริษัทเชฟรอนอย่างไร
น่าแปลกใจว่า ข้อมูลเช่นนี้จะมีอยู่แต่ในหน่วยงานของสภาความมั่นคงแห่งชาติเท่านั้นหรือ หน่วยข่าวกรองแห่งชาติ หรือกองทัพไทย ไม่มีการวิเคราะห์เรื่องละเอียดอ่อนเหล่านี้บ้างเลยจริงหรือ
ผบ.เหล่าทัพนั่งเป็นเบื้อใบ้ นิ่งเป็นเป่าสาก พฤติกรรมเยี่ยงนี้ยังกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นรั้วของชาติได้หรือไม่
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ไม่อายผู้ใต้บังคับบัญชาที่เขาสละชีพรักษาชาติทั้งในสนามรบและการปกป้องด้ามขวานไทยในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้บ้างหรือ
ลูกน้องของท่านเสี่ยงตายทุกวัน ในขณะที่ท่านนั่งเรียบร้อยล้อมวงประดับบารมีให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ไม่กล้าแม้แต่จะแสดงความเห็นแย้งในประเด็นที่สุ่มเสี่ยงต่อความมั่นคงของชาติ
ไม่กล้าแม้กระทั่งจะแสดงความเห็นของตัวเองอย่างอิสระ โดยไม่มียศศักดิ์มาอุดปากตัวเอง
ไม่กล้าแม้กระทั่งจะทำหน้าที่ทหารของชาติไทย
ขอให้รับรู้ไว้ว่าภายใต้พฤติกรรมเช่นนี้ พล.อ.ประยุทธ์ และผบ.เหล่าทัพเทียบไม่ได้กับพลทหารที่เขาสละเลือดเนื้อและชีวิตเพื่อพิทักษ์ผืนแผ่นดินนี้