รายงานการเมือง
ตั้งแต่ได้รับการแต่งตั้งให้มาเป็น “อธิบดีกรมที่ดิน” ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อช่วงกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา ก็แทบไม่ค่อยได้มีข่าวอะไรจากอธิบดีกรมที่ดินคนปัจจุบัน
“บุญเชิด คิดเห็น”
ซึ่งยงยุทธ วิชัยดิษฐ รมว.มหาดไทยโยกจาก ผวจ.ลำปางให้มาเป็นอธิบดีกรมที่ดินแทน อนุวัฒน์ เมธีวิบูลย์วุฒิ ทั้งที่อนุวัฒน์จะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายนี้แล้ว
แต่ตอนนี้ “บุญเชิด” กำลังอาจต้องรับเผือกร้อนขึ้นมาแล้ว ว่าจะต้องจัดการอย่างไรกับปัญหาเรื่องที่ดินอัลไพน์ที่ยืดเยื้อมานับสิบปี ที่ตอนนี้กลับมาเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองอีกครั้ง
หลังจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีการชี้มูลความผิดย้อนหลัง ยงยุทธ วิชัยดิษฐ เนื่องจากสมัยรับราชการเป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย รักษาการปลัดกระทรวงมหาดไทยแทน ชนะศักดิ์ ยุวบูรณ์ ที่ลาออกไปช่วงรัฐบาลทักษิณ 1
ปรากฏว่า “ยงยุทธ” ได้ออกคำสั่งเพิกถอนคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินที่ให้ยกเลิกโฉนดที่ดิน ที่จดทะเบียนในนามสนามกอล์ฟอัลไพน์ ซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี อันเป็นการโอนที่ธรณีสงฆ์โดยมิชอบ
ทั้งที่กรมที่ดินตอนนั้นได้ปฏิบัติตามมติความเห็นของที่ประชุมใหญ่คณะกรรมการกฤษฏีกาที่มีความเห็นว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ธรณีสงฆ์ จึงต้องมีการเพิกถอนเพื่อคืนสภาพเดิม
แต่ “ยงยุทธ” ซึ่งตอนนั้นกำลังจะเกษียณอายุราชการอยู่แล้วในอีกไม่กี่อาทิตย์ก็เล่นจัดการใช้อำนาจรักษาการปลัดกระทรวงมหาดไทยออกคำสั่งระงับคำสั่งเพิกถอนเอกสารสิทธิดังกล่าวโดยอ้างว่าเป็นคำสั่งทางปกครองซึ่งกฎหมายเปิดช่องให้เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจำนวนมากที่พักอาศัย หรือมีที่ดินในหมู่บ้านอัลไพน์
หลังจากนั้น สิ่งที่ตามมาคือ ทักษิณ ชินวัตร และปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ รมว.มหาดไทยในขณะนั้นก็เลยปูนบำเน็จให้ “ยงยุทธ” ได้เป็นปลัดมหาดไทยก่อนเกษียณแค่ไม่กี่สัปดาห์
ด้วยเหตุนี้ ป.ป.ช.จึงให้เหตุผลการชี้มูลความผิด “ยงยุทธ” ว่าการใช้คำสั่งดังกล่าวมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ที่มิควรได้
เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ ฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของรัฐบาล อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535
และมีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
อ่วมแน่คราวนี้ ยงยุทธ-มท.1 ที่เป็นคนเซ็นสิทีฟอ่อนไหวง่ายอยู่แล้ว ดีใจได้เป็นรัฐมนตรีก็ร้องไห้ ดีใจได้เป็น ส.ส.ครั้งแรกในชีวิตหลังเลือกตั้งที่ผ่านมาก็น้ำตาซึม เลยมีอาการทั้งเคร่งเครียด ตกใจ ขวัญผวา ที่จะโดนเช็กบิลเอาในช่วงบั้นปลายชีวิต
มีข่าวปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใด ยงยุทธก็ตกเป็นเป้าหมายอันดับต้นๆ ที่มีข่าวจะโดนปรับออกบ้างหรือไม่ก็ปรับเหลือแค่ตำแหน่งเดียวคือรองนายกรัฐมนตรีบ้าง ยงยุทธก็ใจดีสู้เสือ บอกสื่อทุกครั้งว่า “ทุกอย่างอยู่ที่นายกฯ”
มาเจอข่าว ป.ป.ช.จ้องจะฟันเอาผิดอาญาในช่วงปรับ ครม.ด้วย เลยยิ่งใจเสียเป็นสองเท่า เพราะอาจถูกพรรคพวกในพรรคเพื่อไทยที่จ้องเลื่อยขาเก้าอี้เอาเรื่องนี้มากดดันให้ปรับยงยุทธออกจากเก้าอี้ มท.1แต่เจ้าตัวก็ยังใจดีสู้เสือตีหน้าเฉยตามสไตล์ตอนนี้ก็เตรียมต่อสู้คดีกันไป
ส่วนที่ว่า “บุญเชิด คิดเห็น” อาจต้องรับเผือกร้อนอัลไพน์ไปพร้อมกับลูกพี่ยงยุทธ
ก็เป็นเพราะว่าเมื่อยงยุทธถูกเอาผิดย้อนหลังไปตั้งแต่เกือบสิบปีที่แล้ว จากกรณีไม่ดำเนินการใดๆ กับที่ธรณีสงฆ์อัลไพน์ หากสุดท้าย ป.ป.ช.ส่งฟ้องคดีนี้ไปที่อัยการแล้วอัยการเห็นด้วยกับป.ป.ช.จนมีการยื่นฟ้องศาล แม้ทางคดีจะใช้เวลาค่อนข้างนานในชั้นอัยการและศาลฯ แต่มันก็จะกลับมาเป็นประเด็นการเมืองอีกรอบหนึ่งให้วกกลับมาที่กรมที่ดินในยุค บุญเชิดเป็นอธิบดี แถมยังเป็นอธิบดีซึ่งถูกมองว่าใกล้ชิดกับแกนนำรัฐบาลหลายคนว่าแล้วตัวบุญเชิด
“บุญเชิด” จะทำอย่างไรกับปัญหาที่ดินธรณีสงฆ์อัลไพน์ หากว่าทั้ง ป.ป.ช.และอัยการเห็นตรงกันว่ายงยุทธทำผิดที่ใช้อำนาจในทางมิชอบกรณีไม่เพิกถอนที่ดินอัลไพน์
ถึงตอนนั้นฝ่ายค้านก็จะใช้ประเด็นนี้มาจี้ให้กระทรวงมหาดไทยและกรมที่ดิน รื้อฟื้นเรื่องการเพิกถอนสิทธิที่ดินอัลไพน์ขึ้นมาอีกครั้ง หากไม่ทำ ก็จะยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช.เพื่อเอาผิด “บุญเชิด” เหมือนกับที่ยงยุทธโดนสอบสวนและเอาผิดคดีอาญา แต่เฉพาะหน้าที่จะโดนก่อนคือหากยงยุทธไม่โดนปรับออกจากตำแหน่ง มท.1 เสียก่อน เรื่องอัลไพน์นี้ก็จะเป็นอีกประเด็นที่ฝ่ายค้านอาจจะนำไปอภิปรายไม่ไว้วางใจในการประชุมสภาฯที่จะมีขึ้นเดือนสิงหาคม
ถึงตอนนั้น “บุญเชิด” ก็ต้องโดนการเมืองกดดันให้จัดการกับเรื่องอัลไพน์ตาม “ยงยุทธ”ไปด้วยแน่นอน
สำหรับ “บุญเชิด คิดเห็น” ในสมัยยังเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยในอธิบดีกรมที่ดิน ได้รับมอบหมายให้จัดการปัญหาที่ดินอัลไพน์ในช่วงปี 2545-2546 เคยมีความเห็นเหมือนเช่นความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา คือเสนอให้กรมที่ดินเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินอัลไพน์ทั้งหมด
วันนี้ “บุญเชิด” จะคิดเห็น ต่างไปจากวันวานหรือไม่ กับการนิ่งเฉย ปล่อยให้เรื่องอัลไพน์ ค้างคาต่อไป ซึ่งก็ไม่แน่ หากทำแบบนั้น มันอาจจะย้อนกลับมาถึงตัว อธิบดีกรมที่ดินคนนี้ก็ได้
ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยลูกพี่!