ผ่าประเด็นร้อน
ขนาดชื่อร่างกฎหมาย ร่างพระราชบัญญัติก็ยังหลอกต้มชาวบ้านชาวช่อง คิดอะไรแบบง่ายๆ เอาพวกมากลากไปเข้ามา คิดว่าทำอะไรก็ได้ในประเทศนี้ “ถ้ากูอยากได้ก็ต้องได้” ไม่ต้องไปสนใจความรู้สึกของคนอื่นว่าจะคิดอย่างไร กูมีเงินจ้าง ส.ส. กูสามารถบันดาลตามความต้องการได้ทุกอย่าง ถ้าพวกมึงยอมเป็นทาสรับใช้กู ทำตามที่กูสั่งทุกอย่าง ถ้ามึงทำได้ มึงขายวิญญาณให้กู รับรองมึงสบายแน่
บรรยากาศทั้งในสภาและการทำหน้าที่ของ ส.ส.พรรคเพื่อไทย เท่าที่เห็นมันไม่ต่างจาก “ลูกจ้างทักษิณ” ไม่มีผิด เพราะทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ให้กับ ทักษิณ ชินวัตร เป็นหลัก ปกป้องและแก้ต่างให้เขาคนเดียว ทำราวกับว่าไม่ได้เห็นประชาชนที่เป็นคนเลือกเข้ามาแต่อย่างใด ไม่เชื่อก็ลองย้อนพิจารณาดูก็ได้ที่มีสภาผู้แทนราษฎรผ่านมาตั้งแต่เลือกตั้งเป็นต้นมาเกือบปีแล้ว ทั้งรัฐบาล และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้เสนอร่างพระราชบัญญัติที่เป็นผลประโยชน์ของชาวบ้านและบ้านเมืองกี่ฉบับกันเชียว แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ ทักษิณ ทุกเรื่องทั้งแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลบล้างอำนาจฝ่ายตรวจสอบ ทำลายระบบตุลาการ ปูทางสู่อำนาจ และล่าสุดก็เสนอร่างพระราชบัญญัติอัปยศเข้ามาสมทบ ย่ำยีหัวใจคนไทยที่รักความยุติธรรมเข้ามาอีก ทุกอย่างมันก็เลยขาดผึง เกินขีดของความอดทน
การเสนอร่างพระราชบัญญัติปรองดองแห่งชาติ ซึ่งก็เป็นชื่อตบตาเท่านั้น แท้ที่จริงก็คือเป็นร่างกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อมุ่งลบล้างความผิดให้ ทักษิณ ชินวัตร เป็นหลัก รวมทั้งต้องการให้เขาได้เงินที่ศาลสั่งยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดินจำนวน 4.6 หมื่นล้านจากการทุจริตกลับคืนมา อีกทั้งยังเป็นการปูทางกลับเข้ามาสู่อำนาจทางการเมืองอีกครั้ง ขณะเดียวกันการเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวยังทำให้พวกนักการเมืองชั่วๆ พวกเผาบ้านเผาเมือง คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้พ้นความผิดไปด้วย ด้วยข้ออ้างบังหน้าแบบมักง่ายว่า “ปรองดอง” ดังกล่าว
อาจเป็นเพราะหยามน้ำใจคนไทยที่รู้ทันมาจนเคยตัวว่า ที่ผ่านมาคนพวกนี้คงนิ่งดูดายยอมให้ย่ำยีเหมือนเช่นทุกครั้ง ไม่รู้ร้อนรู้หนาว แบบธุระไม่ใช่ และย่ามใจรุกคืบมาตลอดไม่เห็นใครโวยวาย แต่คราวนี้กลับผิดคาดเจอแรงต้านแบบย้อนศร รวมพลังกับขัดขืนมากมายอย่างไม่น่าเชื่อ และคาดว่าถ้าทักษิณไม่สั่งถอย ก็คงต้องเจอกับการยกระดับการชุมนุมกลายเป็นขับไล่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่มีน้องสาวตัวเอง คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ก็มีความเป็นไปได้สูง เพราะที่ผ่านมาเกือบ 10 เดือนที่ได้โอกาสเข้ามาบริหารบ้านเมือง พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า มีแต่สร้างความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ไม่สมราคาคุย หากยังไม่เชื่อก็บองยกตัวอย่างมาสักเรื่องสิว่ารัฐบาลชุดนี้ได้สร้างนโยบายอะไรได้สำเร็จตามที่ได้คุยโม้เอาไว้ ไม่ต้องยกเอาเรื่องที่ประเทศจีนขยายเวลาให้หมีแพนด้าอยู่ในเมืองไทยอีก 3 ปีมาเป็นผลงานนะ
เอาเป็นว่าแม้แต่เรื่องการจ่ายเงินชดเชยกับชาวบ้านผู้ได้รับความเดือดร้อนจากน้ำท่วมปีที่แล้วมาจนถึงบัดนี้หลายพื้นที่ก็ยังไม่ได้รับ พวกที่ได้รับเงินก็ได้ไม่ครบ ไม่เท่าเทียม ไร้มาตรฐานเล่นพรรคเล่นพวก จนต้องมีการปิดถนนประท้วงกันวุ่นวาย สิ่งที่เกิดขึ้นมันสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวในการบริหารจัดการที่ห่วยแตก ไม่ต้องไปกล่าวโทษฝ่ายท้องถิ่น มันต้องโทษที่รัฐบาล ตัวนายกรัฐมนตรีนั่นแหละที่เป็นผู้นำ ของแบบนี้มันสร้างภาพชั่วคราวได้ แต่ความจริงมันก็ต้องโผล่ออกมาจนได้
นอกจากนี้ นโยบายประชานิยมทั้งหลายที่คุยโวเมื่อตอนหาเสียง ก็ไม่เห็นทำได้ตามที่พูดเอาไว้สักเรื่องมีแต่สร้างปัญหาตามมาทั้งสิ้น
เมื่อวกกลับมาที่พระราชบัญญัติปรองดองจอมปลอม ที่กำลังเร่งรีบกันแบบหน้าดำคร่ำเครียด แค่ชื่อก็สวนทางกับความเป็นจริง เพราะมันไม่ได้ปรองดองสมชื่อ ตรงกันข้ามเมื่อพิจารณาดูเนื้อหาที่มุ่งเน้นช่วยเหลือคนทำผิด คนทุจริตให้พ้นผิด มีแต่มุบมิบใช้เสียงข้างมากลากไป ไม่มีการปรึกษาหารือ ไม่เคยบอกกล่าว หักหาญน้ำใจตามใจชอบ ความวุ่นวายก็ย่อมเกิดขึ้นแบบเลี่ยงไม่ได้ เพราะแม้แต่ในสภายังแทบจะตีกันตาย แล้วข้างนอกสภาแนวโน้มมันจะไปเหลืออะไร อย่างนี้ก็ต้องเรียกว่าเป็นการ “ปรองดองแบบเหี้ยๆ” อย่างที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยคนหนึ่งได้ใช้คำพูดดังกล่าวออกมาให้ได้ยินไปทั่วนั่นแหละ
มองอีกด้านหนึ่ง ถ้าพิจารณาในแง่ร้ายนี่คือความมุ่งร้ายของทักษิณหรือไม่ เพราะน่าจะรู้ดีว่าการกระทำแบบนี้มีแต่จะเพิ่มความขัดแย้ง ไม่มีทางปรองดองกันได้ ตรงกันข้ามมีแต่ความวุ่นวาย บั่นทอนทำลายสถาบันหลักให้อ่อนแอ จากนั้นก็จะใช้เครือข่ายมวลชนและองค์กรที่มีเจ้าหน้าที่รัฐที่อยู่ในสังกัดของตัวเองรุกคืบเข้ามาอย่างเบ็ดเสร็จ มีเป้าหมายอยู่ที่การสร้าง “รัฐไทยใหม่” หรือไม่
อย่างไรก็ดี นาทีนี้ไม่ต้องมาอธิบายอะไรกันแล้ว ทุกคนย่อมรู้ดีว่าร่างพระราชบัญญัติปรองดอง มีเพียงชื่อเท่านั้นที่ปรองดอง ส่วนเนื้อหาสาระนั้นมีเป้าหมายเพื่อลบล้างความผิดให้คนชั่ว คนโกง เท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าคนไทยส่วนใหญ่ที่รักความยุติธรรมไม่มีใครยอม ไม่มีทางก้มหัวกับอำนาจอธรรมเป็นอันขาด