มท.1 รับมีข่าวพวกฉวยประกาศภัยพิบัติโกง ลั่นหากพบผิดลงโทษแน่ จ่อเรียก “คุณชายสุขุมพันธุ์” แจงต่อสัญญาบีทีเอส ก่อนลงนามบันทึกเอ็มโอยูร่วมอนุรักษ์ป่าไม้ ด้าน “พระนาย” เผยกระทรวงตั้ง ศอ.ปท.บูรณาการปราบปราม
วันนี้ (9 พ.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐนตรี ตั้งข้อสังเกตในที่ประชุม ครม. เรื่องการตั้งงบประมาณแก้ปัญหาภัยแล้งของกระทรวงมหาดไทยจะแก้ปัญหาอย่างไรว่า นายกฯ ได้ขอให้กระทรวงมหาดไทยมีความรอบคอบในการประกาศเขตพื้นที่ภัยแล้งของจังหวัดต่างๆ ไม่ใช่มีภัยพิบัติแค่ส่วนหนึ่งในจังหวัดก็ประกาศเป็นเขตภัยพิบัติทั้งจังหวัด ซึ่งมีความเป็นห่วงหากมีการประกาศไม่รอบคอบจะทำให้คนตื่นตระหนก และเปิดโอกาสให้มีการเบิกเงินทดรองจ่าย จะเป็นช่องทางให้นำไปสู่ความไม่โปร่งใสได้ ซึ่งการตรวจสอบการเบิกจ่ายงบประมาณก็จะมีหลายขั้นตอน ตั้งแต่การตรวจสอบภายในหน่วยงาน รวมทั้ง สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และประชาชนยังช่วยดูอยู่ด้วย ซึ่งตนก็ทราบข่าวมาว่ามีการไม่โปร่งใสเกิดขึ้น โดยเป็นการเรียกร้องผลประโยชน์ อ้างว่าจะนำไปให้กับองค์กรและตัวบุคคล โดยเป็นข่าวหนาหูได้ยินมามากแล้ว เป็นหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทยจะเข้าไปดูแลใกล้ชิด โดยการใช้ผู้ตรวจราชการกระทรวง ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ไปตรวจสอบและทำรายงานให้ทราบ และหากทำความผิดจริงก็ต้องลงโทษอย่างแน่นอน ซึ่งนายกฯ ก็เอาใจใส่เรื่องนี้ โดยเบื้องต้นเรื่องนี้เกิดขึ้นในหลายจังหวัดที่มีน้ำท่วม
เมื่อถามว่า กรณีที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ลงนามต่อสัญญาเช่าให้บริษัทเอกชนดำเนินการดูแลให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอสต่ออีก 13 ปีจากที่เหลือ 17 ปี รวมเป็น 30 ปี ทั้งที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เหลืออายุการดำรงตำแหน่งเพียง 7 เดือน นายยงยุทธกล่าวว่า ตนก็ได้ข้อมูลมาแล้วและได้สอบถาม เพื่อนำข้อชี้แจงของ กทม.มาพิจารณาอีกครั้งหนึ่งว่าเป็นอย่างไร เมื่อถามย้ำว่าเรื่องนี้ยืนยันได้หรือไม่ว่าจะไม่มีการการเมืองเกี่ยวข้อง นายยงยุทธกล่าวว่า ไม่มีการเมืองและส่วนตัวของตนก็ไม่เคยคิดมิติการเมือง แต่จะคิดในมิติบ้านเมืองตลอด ซึ่งขอดูรายงานก่อนว่าเป็นอย่างไรและจะต้องเรียก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์มาชี้แจงหรือไม่ เพราะเรื่องแบบนี้จะมีข้อเท็จจริงและหลักฐานที่เห็นชัดเจนอยู่ว่าเป็นอะไร
โดยนายยงยุทธได้เป็นประธานในพิธีมอบนโยบายการป้องกันและปราบปรามการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ และพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง (เอ็มโอยู) ว่าด้วยความร่วมมือในการอนุรักษ์การป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่า โดยมีปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้แทนปลัดกระทรวงกลาโหม (กห.) ผู้แทนผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) ผู้แทนผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ) ผู้แทนผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ผู้แทนผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) ผู้แทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) รวมทั้งสิ้น 9 หน่วยงานเข้าร่วม เพื่อการป้องกันและปราบปรามการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ เน้นบูรณาการทุกหน่วย ที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่ต้องรับผิดชอบดูแลทรัพยากรป่าไม้โดยตรง
ด้าน นายพระนาย สุวรรณรัฐ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสแก่นายกรัฐมนตรี คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศไทย (กยอ.) และคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) โดยทรงชี้ให้เห็นถึงปัญหาน้ำท่วมและดินถล่มในพื้นที่ภาคใต้และภาคเหนือของประเทศไทย ว่าเกิดขึ้นจากป่าไม้ถูกทำลายเพราะความโลภของคน จึงต้องหาวิธีป้องกันไม่ให้ป่าไม้ถูกทำลาย และลงโทษผู้กระทำผิดในคดีเกี่ยวกับป่าไม้สถานหนัก และเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2555 นายกรัฐมนตรีได้ประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง ที่กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเน้นย้ำให้ทุกกระทรวงเตรียมรองรับสถานการณ์น้ำท่วม ในส่วนของการปลูกป่าจะแบ่งพื้นที่ให้ทุกกระทรวงร่วมกันรับผิดชอบ และได้กำชับว่าแผนการปลูกป่าถือเป็นวาระแห่งชาติที่ทุกคนต้องช่วยกัน
ปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทยได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามการบุกรุกทำลายป่าทรัพยากรป่าไม้ (ศอ.ปท.) ขึ้นที่กระทรวงมหาดไทย เพื่อเป็นศูนย์อำนวยการ และบูรณาการกำหนดแนวทางการดำเนินงานแผนปฏิบัติการ และมาตรการการป้องกันและปราบปรามการบุกรุกทำลายป่า และขับเคลื่อนนำไปสู่การปฏิบัติของจังหวัดและอำเภอให้บังเกิดผลเป็นรูปธรรม ประชาชนสามารถแจ้งเบาะแส หรือให้ข้อมูลการลักลอบตัดไม้ทำลายป่ากับศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ (ศอ.ปท.) และภายหลังการลงนามในบันทึกข้อตกลง (เอ็มโอยู) ในระดับกระทรวงแล้วในส่วนระดับจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัดจะนำรูปแบบการลงนามในบันทึกข้อตกลง (เอ็มโอยู) ไปดำเนินการในระดับจังหวัดร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ทั้งหน่วยงานของพลเรือน ตำรวจ และทหาร ในนามกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในระดับจังหวัด และระดับอำเภอต่อไป
