อดีตรัฐมนตรีไอซีที เชื่อ “อนุดิษฐ์” เซ็นซื้อแท็บเล็ตมีปัญหาแน่ แฉมีกั๊กเอกชนได้ประโยชน์ขายสัญญา ซัดไม่ดันทีโอทีขยายสัญญาณ 3 จี ส่อทิ้งงานให้บริษัทข้างรัฐแสวงประโยชน์ จวกป้ายสียันไม่เคยเห็นสัญญาซื้อฮัทช์ รัฐบาลยุคมาร์คไม่ทำเพราะล้าสมัย ไล่ไปตามธนาคารคนจน ปูดเจ้าแม่ลาดปลาเค้าโผล่กั๊กธุรกิจเพื่อพวกพ้อง เย้ยแค่สร้างเรื่องกลัวหลุดเก้าอี้
วันนี้ (4 พ.ค.) นายจุติ ไกรฤกษ์ ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่้อสาร (ไอซีที) แถลงถึงกรณีการดำเนินนโยบายแจกแท็บเล็ตให้แก่โรงเรียนทั้งหมด 30,000 โรงเรียนทั่วประเทศว่า ตามที่กระทรวงไอซีทีระบุว่าจะเริ่มมีการเซ็นสัญญาจัดซื้อแท็บเล็ตนั้น ตนเห็นว่ามีปัญหาตามมาแน่นอน ทั้งในเรื่องของการทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง หรือทีโออาร์ รวมไปถึงการรับประกันเครื่องและอุปกรณ์ต่างๆ และหากมีการจัดซื้อแท็บเล็ตได้ก็จะยังคงมีปัญหาตามมาในเรื่องของสัญญาณ เพราะขณะนี้มีการสำรวจว่า 30,000 โรงเรียนที่จะต้องได้แท็บเล็ตนั้นมีสัญญาณไว-ไฟไม่ถึง 1,000 โรงเรียน ซึ่งจะกลายเป็นปัญหาตามมาอย่างแน่นอน เหมือนกับสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี มีการสร้างโรงผลิตปุ๋ยในพื้นที่ที่ไม่มีไฟฟ้า และยังพบว่ามีการกั๊กให้กับบริษัทเอกชนบางรายได้รับผลประโยชน์จากการขายสัญญา
“ตลอดเวลา 9 เดือนที่ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.ไอซีที ไม่ผลักดันให้ทีโอทีเดินหน้าขยายสัญญาณ 3 จีนั้น จะกลายเป็นการทิ้งงานให้แก่บริษัทเอกชนบางรายที่มีสายสัมพันธ์กับรัฐบาลเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ ซึ่งวันนี้ควรมีการเร่งและผลักดันให้ทีโอที และ กสท เดินหน้าขยายสามจีให้ได้มากที่สุด เพราะไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นการทิ้งเค้กก้อนโตให้แก่เอกชนรับไปเต็มๆ ยืนยันว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะที่ผ่านมาตัดสินใจให้ทีโอที และกสท ทำสามจี เพราะวันนี้โลกไปสี่จีแล้ว” นายจุติกล่าว
นายจุติกล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่ น.อ.อนุดิษฐ์กล่าวหาว่าในสมัยที่ตนเป็น รมว.ไอซีทีแล้วไม่ทำตามสัญญาซื้อขายระหว่าง กสท กับกลุ่มบริษัทฮัทชิสัน เทเลคอม และถูกแทรกแซงจากการเมือง ขอยืนยันว่าเอกสารสัญญาซื้อขายฮัทช์ที่ น.อ.อนุดิษฐ์นำมาแถลงนั้น แม้แต่รองอธิบดีดีเอสไอยังไม่ทราบว่าสัญญามีจริงหรือไม่ ถ้าสัญญามีจริงจะผิดกฎหมายหรือไม่ ถือว่าตลอดเวลา 9 เดือน น.อ.อนุดิษฐ์กล่าวหารัฐบาลชุดที่แล้วมา 3 ครั้งแล้ว เพื่อบีบให้การซื้อขายฮัทช์ไม่สำเร็จ ขอเรียนว่าฮัทช์เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายด้วยระบบดิจิตอล หรือซีดีเอ็มเอ ที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ไม่ได้ตกลงจะซื้อ เพราะราคา 7 พันล้านบาทถือว่าแพงมาก และเป็นเทคโนโลยีที่ไม่มีอนาคต ซึ่งซีดีเอ็มเอทั่วโลกมีไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ และไม่มีใครผลิตอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับซีดีเอ็มเอแล้ว
“วันนี้เลิกป้ายสี เลิกจับผิดรัฐบาลชุดที่แล้วได้แล้ว ควรเอาเวลาที่มีทั้งหมดไปสร้างถนนทางด่วน ข้อมูล 3 จี, 4 จี ให้กับประชาชนจะได้ประโยชน์มากกว่า และ 9 เดือนที่ผ่านมาไม่มีความคืบหน้าในเรื่องของการทวงทรัพย์สินของประเทศคืน น.อ.อนุดิษฐ์ต้องไปตามมาให้ได้เพราะมีมูลค่าหลายแสนล้านบาท เพราะขณะนี้ทรัพย์สินยังโอนให้ไม่ครบ และบริษัท ไปรษณีย์ ไทย ซึ่งรัฐบาลที่แล้วทำเรื่องธนาคารคนจนไว้ วันนี้ยังไม่เปิดแม้แต่สาขาเดียว จึงอยากให้ น.อ.อนุดิษฐ์เอาเวลาไปตามเรื่องให้คนจนจะดีกว่า เพราะถ้าสัญญาณทั้งประเทศไม่สามารถต่อได้ โครงการแจกแทบเลตที่ทำก็จะล้มเหลว ผมไม่ต้องการให้ท่านรับใช้เจ้านาย แต่ต้องการให้รับใช้ประชาชน และขอให้ไปดูในกระทรวงไอซีทีด้วย เพราะมีกลิ่นตุๆ กลิ่นคาวอยู่เยอะ มีเจ้าแม่ลาดปลาเค้าเข้ามาหาเศษหาเลย กั๊กธุรกิจเพื่อให้บริษัทของพวกพ้อง เช่นสายรัฐบาลทำอยู่คนเดียว” นายจุติกล่าว
นายจุติกล่าวอีกว่า สัญญาการซื้อขายดังกล่าวตนไม่เคยเห็นเลย และอดีตคณะกรรมการชุดที่แล้วก็ยืนยันว่าไม่เคยเห็นสัญญารวมทั้งยืนยันด้วยว่าสัญญานี้บอร์ดชุดที่ผ่านมาไม่เคยอนุมัติและไม่เคยได้รับทราบ จึงขอเรียกร้องให้ดีเอสไอเข้าไปตรวจสอบว่าสัญญาที่ทำขึ้น ใครเป็นผู้รับผิดชอบ เพราะตนเกรงว่าจะกลายเป็นการสร้างเรื่องขึ้นมากลบข่าว เพราะใกล้จะมีการปรับ ครม.แล้ว เพราะถ้าไม่สร้างเรื่องป้ายสีให้ตน ก็อาจจะโดนปรับออกได้ เรื่องนี้ไม่รู้ใครจะขุดหลุมฝังตัวเอง เพราะสิ่งที่พยายามกล่าวหาตน ทุกอย่างนั้นตนทำตามมติ ครม.สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ รัฐมนตรีเพียงแค่มอบนโยบายให้กับบอร์ดเท่านั้น และอดีตบอร์ดส่วนใหญ่เป็นข้าราชการ เขาคงไม่กล้าออกมาพูดอะไร เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของการเมืองทั้งสิ้น
เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ น.อ.อนุดิษฐ์ไม่กล้าทำอะไรเพราะต้องรอคำสั่งจากนายใหญ่ นายจุติกล่าวว่า น่าสงสาร น.อ.นุดิษฐ์ คงเป็นตัวของตัวเองยาก และคงกลัวที่จะหลุดจากตำแหน่ง ต้องหาผลงานมาโชว์ แต่ควรจะเป็นผลงานเพื่อประชาชน ไม่ใช่ผลงานที่มาแก้แค้นทางการเมืองเพื่อให้นายสบายใจ ยังมีเวลายังไม่ถึงสิ้นเดือน พ.ค. ถ้าปรับปรุงตัวใหม่อาจจะทันไม่ถูกปรับออก