“ยิ่งลักษณ์” ร่วมประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ยืนยันให้ความสำคัญความร่วมมือระหว่างกัน โดยเฉพาะการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและความเชื่อมโยงคมนามคม ขณะเดียวกันในฐานะหุ้นส่วนการพัฒนาร่วมกับญี่ปุ่น พร้อมสนับสนุนพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจ และส่งเสริม SMEs
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (21 เม.ย.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เข้าร่วมการประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 4 ภายใต้หัวข้อ “Cooperation Between Japan and Mekong Region Countries”ณ ห้อง Hagoromo พระราชวัง Akasaka โดยมีนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นรอรับ จากนั้นเมื่อผู้นำทั้งหมดเดินทางถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ร่วมถ่ายภาพกับผู้นำลุ่มน้ำโขงและนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ณ ห้อง Sairan แลได้ร่วมกันการประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ณ ห้อง Hagoromo ในเวลาต่อมา
เมื่อเริ่มต้นการประชุม นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้กล่าวเปิดการประชุม และเริ่มต้นการประชุมด้วยประเด็นเกี่ยวกับความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-ญี่ปุ่น โดยผู้นำแต่ละประเทศจะได้มีการนำเสนอความคิดเห็น และนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นจะเป็นผู้สรุปในตอนท้าย
ทั้งงนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้นำเสนอในประเด็นความร่วมมือ โดยกล่าวว่าการเข้าร่วมในกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่นของไทยในฐานะหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนานั้น เพราะเห็นว่าทุกประเทศในอนุภูมิภาคมีความเชื่อมโยง พึ่งพาซึ่งกันและกันอย่างแยกไม่ได้ ดังนั้น ไทยจึงมีนโยบายให้ความร่วมมือเพื่อการพัฒนากับประเทศลุ่มน้ำโขงในกรอบทวิภาคีมานานกว่า 20 ปี โดยนายกรัฐมนตรีได้ชื่นชมที่รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาประเทศลุ่มน้ำโขงจำนวน 6 แสนล้านเยน ในช่วง 3 ปีข้างหน้า
ส่วนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการเชื่อมโยงด้านคมนาคม ก็ถือเป็นเสาหลักในการพัฒนาประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง โดยช่วยเชื่อมโยงพื้นที่ที่ห่างไกลความเจริญให้ได้รับการพัฒนา ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ประชาชน ลดช่องว่างทางเศรษฐกิจและการพัฒนาระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน ไทยจึงให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเชื่อมโยงไทยกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค ทั้งนี้ ที่ผ่านมาไทยให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเกือบ 20 โครงการ และในปีนี้ได้จัดสรรงบประมาณเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกราว 883 ล้านเยน หรือประมาณ 77 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการให้ความช่วยเหลือทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและความช่วยเหลือทางวิชาการต่อประเทศลุ่มน้ำโขง
ในโอกาสนี้นายกฯ ได้ยกตัวอย่างความร่วมมือที่สำคัญ ที่ได้ร่วมกันดำเนินการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา คือ การจัดการประชุมระหว่างประเทศเพื่อพัฒนาแนวพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก และแนวพื้นที่เศรษฐกิจทางใต้ ให้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจอย่างแท้จริง มิใช่เป็นเพียงเส้นทางเชื่อมโยงการคมนาคมระหว่างกัน ทั้งนี้ นายกฯ ยังเห็นว่าไทยและญี่ปุ่นอาจขยายเป้าหมายการดำเนินความร่วมมือในการบริหารจัดการน้ำเพื่อความมั่นคงของแนวพื้นที่เศรษฐกิจดังกล่าวให้ครอบคลุมถึงการเพิ่มความสามารถในการรองรับความเสี่ยงจากอุทกภัยและภัยพิบัติให้กับพื้นที่เศรษฐกิจ ตามเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจดังกล่าว โดยใช้ประโยชน์จากความรู้ความเชี่ยวชาญของญี่ปุ่นในเรื่องการเตรียมพร้อมและการบริหารจัดการภัยพิบัติ
สำหรับเส้นทางตามแนวพื้นที่เศรษฐกิจทางใต้นั้น นายกฯ กล่าวย้ำว่า รัฐบาลไทยสนับสนุนการเชื่อมโยงโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย โดยจะบรรจุโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างกรุงเทพฯกับชายแดนไทย-เมียนมาร์ ในแผนงานงบประมาณตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป ดังนั้นจึงขอเชิญญี่ปุ่นให้พิจารณาการสนับสนุนและมีส่วนร่วมในโครงการดังกล่าวต่อไปด้วย
นอกเหนือจากความร่วมมือในกรอบลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ไทยยังเห็นว่าญี่ปุ่นสามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการอำนวยความสะดวกข้ามพรมแดน ทั้งในกรอบอาเซียน+1 และอาเซียน+3 ด้วย ซึ่งการอำนวยความสะดวกข้ามพรมแดนเป็นประเด็นที่ไทยให้ความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยไทย เวียดนาม และสปป.ลาว จะจัดการประชุม 3 ฝ่ายตามเส้นทางแนวพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก และเส้นทางอื่น ๆ ที่เชื่อมโยงไทย-สปป.ลาว และเวียดนาม เช่น เส้นทางหมายเลข 12 นอกจากนี้ ไทยอยู่ระหว่างการเสนอร่างพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกการขนส่งข้ามพรมแดนให้รัฐสภาเห็นชอบ
น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวต่อว่า ในการนี้ไทยจึงขอชื่นชมญี่ปุ่นที่ให้ความสำคัญต่อการอำนวยความสะดวกทางการค้าโดยริเริ่มข้อเสนอ “Asia Cargo Highway” เพื่อปรับปรุงขั้นตอนทางศุลกากรระหว่างประเทศลุ่มน้ำโขงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเสริมระบบ National Single Window ของแต่ละประเทศสมาชิกด้วย ซึ่งไทยเห็นว่าการพัฒนาเพื่อก้าวไปสู่ “ความเป็นหุ้นส่วนใหม่เพื่ออนาคตที่รุ่งเรืองร่วมกัน” จำเป็นต้องดำเนินการร่วมกันโดยทุกภาคส่วน ดิฉันจึงยินดีที่ Tokyo Strategy ให้ความสำคัญต่อ “การพัฒนาร่วมกัน” เป็นเสาหลักที่สอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความสำคัญต่อความร่วมมือระหว่างภาครัฐ-เอกชนในการขับเคลื่อนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาค และขอชื่นชมที่ภาคเอกชนได้มีส่วนสำคัญในการจัดทำแผนปฏิบัติการของข้อริเริ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมลุ่มน้ำโขง-ญี่ปุ่น รวมทั้งให้ข้อเสนอแนะในเวทีการประชุมภาครัฐ-เอกชนที่ผ่านมาแล้ว 2 ครั้ง ซึ่งในครั้งนี้นายกรัฐมนตรีรู้สึกยินดีที่ได้มีโอกาสหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้บริหารเคดันเรน และ JCCI เมื่อวานนี้ และเห็นว่ากิจกรรมในลักษณะดังกล่าวมีประโยชน์มาก
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไทยให้ความสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือในลักษณะหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐและเอกชน และอยู่ในระหว่างการจัดทำร่างพระราชบัญญัติร่วมทุนระหว่างภาครัฐ-เอกชน ซึ่งจะช่วยให้ภาคเอกชนสามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาพื้นที่ตามแนวเส้นทางคมนาคมให้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ นายกฯ ได้กล่าวชื่นชมถึงกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-ญี่ปุ่น ที่ให้ความสำคัญต่อภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งมีบทบาทอย่างสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนุภูมิภาค ในส่วนของไทย รัฐบาลให้ความสำคัญกับการส่งเสริม SMEs อย่างต่อเนื่อง และล่าสุดได้ดำเนินมาตรการฟื้นฟูและเยียวยาธุรกิจที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย โดยได้อนุมัติการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติมูลค่าประมาณ 1,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะช่วยคุ้มครองครัวเรือนและผู้ประกอบการรวม 1.54 ล้านราย ในวงเงินคุ้มครองประมาณ 86,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
นายกรัฐมนตรีเห็นว่าไทยและญี่ปุ่นอาจร่วมกันสนับสนุนการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน และให้ SMEs ประเทศลุ่มน้ำโขงได้ใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรีทั้งในกรอบ ASEAN และ ASEAN-Japan โดยผ่านกิจกรรมการฝึกอบรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับ SMEs ในประเทศลุ่มน้ำโขงในสาขาที่เป็นประโยชน์ เช่น การเปิดเสรีทางการค้า บริการ และการลงทุน โดยจะขอให้สำนักงานความร่วมมือ เพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ประสานงาน
วิกฤตน้ำท่วมครั้งใหญ่ในปีที่ผ่านมาได้สร้างความเสียหายอย่างหนัก ซึ่งภาคเอกชนของญี่ปุ่นก็ได้รับผลกระทบอย่างมากเช่นกัน ดังนั้น เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตไทยได้กำหนดให้มีการปรับโครงสร้างการผลิตและบริการจากภัยพิบัติและสถานการณ์วิกฤตเป็นยุทธศาสตร์สำคัญเพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตของประเทศ โดยยุทธศาสตร์ดังกล่าวต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานแนวคิดการบริหารจัดการความเสี่ยงและภาวะวิกฤต และการบริหารจัดการเพื่อความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจ โดยมุ่งหวังให้ห่วงโซ่ธุรกิจได้รับผลกระทบน้อยที่สุดจากการเกิดภัยพิบัติ ซึ่งแนวทางหนึ่งที่นำมาประยุกต์ใช้ คือ แนวคิดการช่วยเหลือซึ่งกันและกันเมื่อเกิดภัย โดยส่งเสริมให้ธุรกิจสร้างเครือข่ายธุรกิจสำรองเพื่อให้ธุรกิจที่ประสบภัยสามารถดำเนินการผลิตต่อไปได้โดยไม่หยุดชะงักเมื่อเกิดภัยพิบัติ
โดยที่ญี่ปุ่นมีความก้าวหน้าในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการพยากรณ์อากาศ และเตือนภัยล่วงหน้า เห็นว่าญี่ปุ่นสามารถมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในการช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศลุ่มน้ำโขง ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีในการเตือนภัย รวมทั้งเตรียมความพร้อมของประชาชนในการรับมือกับภัยธรรมชาติรูปแบบต่างๆ
นอกจากนี้ เป็นที่น่ายินดีที่ที่ประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขง-ญี่ปุ่น ครั้งที่ 3 ที่บาหลีเมื่อปี 2554 ได้สนับสนุนให้มี การหารือระหว่างศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย ที่กรุงเทพฯ กับศูนย์ลดภัยพิบัติแห่งเอเชีย ที่เมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่น และหวังว่าการหารือของทั้งสองศูนย์จะนำไปสู่ความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมต่อไป นอกเหนือจากเรื่องความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติดังกล่าวแล้ว
น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ถือโอกาสนี้เน้นถึงความสำคัญของเรื่องความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะที่เป็นผู้หญิงและแม่ นายกรัฐมนตรีขอสนับสนุนความพยายามในกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-ญี่ปุ่นในการบรรลุเป้าหมายแห่งสหัสวรรษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดเป้าหมาย การรักษาชีวิตแม่และเด็ก ซึ่งรัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมบทบาทสตรีด้วยการจัดตั้งกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีเพื่อเสริมสร้างสวัสดิภาพ และสวัสดิการของสตรี นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้เข้าร่วมโครงการ Every Woman Every Child ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ของโลกสำหรับสุขภาพสตรีและเด็ก ซึ่งเป็นโครงการภายใต้ความริเริ่มของเลขาธิการสหประชาชาติ ไทยจึงมีความพร้อมที่จะแลกเปลี่ยนความรู้และ ความร่วมมือในเรื่องนี้
ในตอนท้าย นายกฯ กล่าวยืนยันว่ารัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนาความร่วมมือในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงเป็นอย่างยิ่ง เพราะตระหนักดีว่า ความมั่นคงและความมั่งคั่งของประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง คือ ความมั่นคงและความมั่งคั่งของประเทศไทยด้วย ดังนั้น ไทยจะร่วมมือกับญี่ปุ่นและประเทศสมาชิกลุ่มน้ำโขงทุกประเทศอย่างแข็งขัน เพื่อพัฒนาภูมิภาคนี้ให้มีความเจริญรุ่งเรืองและประโยชน์สุขร่วมกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมฯ ผู้นำลุ่มน้ำโขงและผู้นำญี่ปุ่น ได้ร่วมกันแถลงข่าวเกี่ยวกับผลการประชุมและการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นความร่วมมือและประเด็นเกี่ยวกับภูมิภาค ซึ่งในการแถลงข่าวผลการประชุมผู้นำประเทศลุ่มน้ำโขง-ญี่ปุ่น ครั้งที่ 4 นี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ร่วมแถลงด้วย
โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ในนามของประเทศไทย รู้สึกยินดีที่ได้มาเข้าร่วมการประชุมความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่นในครั้งนี้ กรอบความร่วมมือนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่เศรษฐกิจของภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ซึ่งไทยเน้นให้ความสำคัญกับการให้ความช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านและการพัฒนาประเทศลุ่มน้ำโขงมาโดยตลอด นอกจากนี้ กรอบความร่วมมือนี้นับเป็นเวทีสำคัญที่ประเทศในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงได้มีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในฐานะประเทศหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาและให้การสนับสนุนการพัฒนาในภูมิภาคนี้มาอย่างต่อเนื่องในโอกาสนี้ ขอยืนยันว่าไทยให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมในกรอบความร่วมมือนี้ในฐานะหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาร่วมกับญี่ปุ่น ในการประชุมวันนี้ จึงได้เสนอที่จะร่วมมือกับญี่ปุ่นในการสนับสนุนกิจกรรมที่สำคัญในกรอบความร่วมมือนี้ 3 โครงการ ดังต่อไปนี้
1.การขยายความร่วมมือเพื่อพัฒนาแนวพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตกและแนวพื้นที่เศรษฐกิจทาง ใต้ให้เป็นแนวพื้นที่เศรษฐกิจอย่างแท้จริง มิใช่เป็นเพียงเส้นทางการคมนาคม รวมทั้งให้สามารถรองรับความเสี่ยงจากอุทกภัยและภัยพิบัติในอนาคตด้วย
2. สำหรับการพัฒนาโครงการตามเส้นทางแนวพื้นที่เศรษฐกิจทางใต้นั้น ดิฉันได้เชิญชวนให้ญี่ปุ่นสนับสนุนและมีส่วนร่วมในโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวายในเมียนมาร์ ซึ่งในส่วนของไทยจะบรรจุโครงการทางหลวงพิเศษเชื่อมกรุงเทพฯ กับชายแดนไทย-เมียนมาร์ ในแผนงบประมาณตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไปด้วย ซึ่งโครงการดังกล่าวจะช่วยเชื่อมเส้นทางแนวพื้นที่เศรษฐกิจทางใต้ระหว่างทะเลอันดามันและทะเลจีนใต้ในที่สุด
3. ได้เสนอให้ไทยและญี่ปุ่นร่วมกันจัดทำหลักสูตรการฝึกอบรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับ SMEs ในประเทศลุ่มน้ำโขงในเรื่องสำคัญ ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อ SMEs เช่น การเปิดเสรีทางการค้า บริการ และการลงทุน เพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี ค.ศ. 2015
นอกจากนี้ ในตอนท้าย นายกฯ ย้ำว่า รัฐบาลไทยให้ความสำคัญต่อนโยบายการให้ความช่วยเหลือต่อประเทศเพื่อนบ้าน โดยในปีนี้รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณเป็นจำนวนเงิน 883 ล้านเยน หรือประมาณ 77 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการให้ความช่วยเหลือทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและความช่วยเหลือทางวิชาการต่อประเทศลุ่มน้ำโขง เพื่อเป้าหมายในการพัฒนาภูมิภาคลุ่มน้ำโขงให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และได้ประโยชน์สุขร่วมกัน