ผ่าประเด็นร้อน
หลังจากผ่านพิธีกรรมอวยยศ อวยชัย ให้ “นายเงิน” อย่าง ทักษิณ ชินวัตร ได้เคลิบเคลิ้มหลงลมจนตัวลอยผ่านไปแล้ว ดังนั้นนับจากนี้เป็นต้นไปก็เริ่มกระบวนการลบล้างความผิดเพื่อหวังกลับประเทศอย่างผู้ชนะภายในปีนี้อย่างที่ได้ลั่นปากเอาไว้
แม้ว่าหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า อาการดังกล่าวของทักษิณ ออกมาในแบบ “ร้อนรน” ผิดปกติ เหมือนกับว่าต้องการรวบรัดให้ทันตามกำหนด ชักช้าไม่ได้แม้แต่นาทีเดียว ราวกับว่าถ้าพลาดขบวนนี้ก็หมดโอกาสแล้ว อะไรประมาณนั้น
อย่างไรก็ดี เมื่อหันมาพิจารณาปัจจัยรอบข้าง มันก็ทำให้คิดได้แบบนั้นจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานของรัฐบาลตัวเองที่นำโดยนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผ่านมา 8-9 เดือนมันไม่ได้เปรี้ยงปร้างอย่างที่พยายามสร้างกระแสเอาไว้ ชาวบ้านเริ่มมีความรู้สึกได้มากขึ้นทุกวัน ทุกอย่างผิดเพี้ยนไปหมด ไม่ได้เป็นไปอย่างที่โม้เอาไว้ คำกล่าวหาคนอื่นว่า “ดีแต่พูด ดีแต่กู้” เวลานี้กำลังย้อนกลับมาหาตัวเองทุกวัน
ปัญหาค่าครองชีพ จากราคาน้ำมันและก๊าซที่พุ่งพรวดขึ้นมาทุกวันที่ 16 ของเดือน มันก็ทำให้ฝืนใจเชียร์ทุกวันลำบากเหมือนกัน ขณะเดียวกันหากไม่หลอกตัวเองก็ลองหันไปดูราคาผลผลิตทางการเกษตรที่บอกว่าเป็นปีทองของชาวนาชาวไร่ ในความเป็นจริงเป็นไปตามนั้นหรือไม่ มีสักกี่คนที่ขายข้าวในราคาจำนำได้เกวียนละ 15,000 บาท มันสำปะหลัง สับปะรด หอม กระเทียม ราคาขายขาดทุนจนต้องออกมาประท้วงเททิ้งกลางถนนประจานมาแล้ว และเชื่อว่าหลังเทศกาลสงกรานต์ ความจริงดังกล่าวก็จะกลับมาหลอกหลอนมากขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากนี้ ความเป็นผู้นำของยิ่งลักษณ์ ยิ่งตกต่ำ ชาวบ้านและชาวโลกเริ่มจับได้แล้วว่า “กลวง” หากพิจารณาจากท่าที คำพูด และผลงาน ที่แสดงออกมาให้เห็น อย่าว่าแต่เป็นนายกรัฐมนตรีเลย แต่เสมียนบริษัทยังไม่แน่ใจว่าจะคู่ควรหรือไม่ ดังนั้น การที่ ทักษิณ และคนในพรรคเพื่อไทยที่เป็นลูกสมุนเชียร์กันออกนอกหน้ามากเท่าไร มันก็ยิ่งชวนอ้วกมากตามไปด้วย เพราะความจริงมันประจานอยู่ทนโท่ ตรงกันข้ามยิ่งพานโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงทำนองว่า “เอาทองชุบมาหลอกขาย” เสียอีก
อย่างไรก็ดี ปรากฏการณ์ดังกล่าวอาจเป็นเหตุผลสำคัญที่ต้องทำให้ ทักษิณ ต้องขยับเข้ามาบัญชาการเองริมรั้วบ้าน พร้อมเรียกบรรดาลุกสมุนมารับคำสั่งโดยตรง ขณะเดียวกันอีกมุมหนึ่งกลับกลายเป็นช่องทางสร้างรายได้ให้กับพวก “สู้แล้วรวย” ได้เป็นกอบเป็นกำอีกครั้ง เนื่องจากทุกการเคลื่อนไหวย่อมมี “ค่าใช้จ่าย” เสมอ มากหรือน้อยว่ากันไป
ดังนั้น ถ้าให้สรุปกันในตอนนี้ก็ต้องเห็นความจริงว่า ทักษิณ กำลังสั่งเดินหน้าทำทุกทางเพื่อที่จะออกกฎหมายเพื่อลบล้างความผิดให้กับตัวเองอย่างเต็มกำลัง เรียกได้ว่ามีกำลังเท่าไหร่ต้องระดมออกมาให้หมด ทั้งในสภาและนอกสภาต่างก็ได้ยินเสียงนกหวีดเป่าออกมาพร้อมกัน แต่ที่น่าจับตาก็คือ การออกตัวรอบใหม่เที่ยวนี้บางทีอาจดูขัดหูขัดตาชาวบ้าน หรือแม้แต่กองเชียร์อย่างคนเสื้อแดงบางกลุ่มไม่น้อย
หากตัดตอนว่ากันเฉพาะการออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม (ใช้ชื่อปรองดองตบตา) ก็เริ่มเห็นความเคลื่อนไหวกันชัดเจนมากขึ้นแล้วว่า ภายในไม่กี่วันข้างหน้าจะเริ่มผลักดันเข้าสภาใช้เสียงข้างมากของ ส.ส.ที่มีอยู่แล้วทันที แต่ปัญหาก็คือคนที่ “อาสา” รับงานดันเป็นคนที่สังคมไม่เชื่อถือ ไร้เครดิต เอ่ยชื่อขึ้นมาตอนนี้ ก็คือ รองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่หมายมั่นปั้นมือมาก่อนใคร ว่าต้องนำ ทักษิณ กลับบ้าน แต่ล่าสุดดันมี “เฒ่า 40 ตัน” เสนาะ เทียนทอง “เสนอหน้า” ออกมาจะ “กินแบ่ง” ในช่วงเวลาสำคัญ มันก็เริ่มเห็นอาการ “เขม่น” ออกมาให้เห็นบ้างแล้ว แต่ไม่เป็นไร ไม่ใช่สาระเพราะในที่สุดคนประเภทเดียวกันแม้จะเคยจะฆ่ากันตาย ด่าทอกันมาแค่ไหน แต่เพื่อประโยชน์เฉพาะหน้าก็ต้องหันมากอดกันจนได้
นั่นเป็นเรื่องภายใน แต่สำหรับภายนอกนี่สิน่าจะมีปัญหา เพราะก่อนหน้านี้เพียงแค่ เฉลิม อยู่บำรุง ออกมาพูดเรื่องปรองดองกับทุกฝ่ายชาวบ้านทั่วไปได้ยินก็แทบอ๊วกกันอยู่แล้ว แต่นี่ยังบวกเพิ่ม เสนาะ เทียนทอง เข้าไปอีกคน ลองหลับตานึกภาพเอาก็แล้วกันว่า ความรู้สึกมันจะขนาดไหน ตอนแรกนึกว่าด้วยวัยปูนนี้คงจะอยู่บ้านเงียบๆ รอวันนับถอยหลัง แต่ไม่รู้ว่าอะไรดลใจจึงออกมาอาสาขอชูธงนิรโทษกรรมลบล้างความผิดให้ ทักษิณ อีกคน แต่ปัญหาก็คือด้วยภาพลักษณ์ในอดีตต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันมีแต่เสียง “ยี้” จะเป็นแรงส่งให้ ทักษิณ ได้กลับบ้านอย่างเท่อย่างคาดหวังหรือไม่
เพราะเมื่อพิจารณาจากบรรยากาศรอบตัวเวลานี้ ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว มีแต่คนรู้ทันเพิ่มขึ้นทุกวัน หรือแม้แต่เหตุการณ์ในช่วงวันสงกรานต์ทั้งที่เวียงจันทน์ และเสียมราฐ ก็มีคนหมั่นไส้ หงุดหงิดไม่น้อย และยิ่งได้ยินคำพูดของทักษิณบนเวทีระหว่างที่คุยโม้กับสมุนที่กำลังป้อยอได้ที่ล้วนแล้วแต่อหังการ์ ไม่เห็นกระบวนการยุติธรรมอยู่ในสายตา ไม่เคยอ่อนน้อมถ่อมตน ยอมรับความผิด ไม่ยอมขอโทษใคร อาการแบบนี้ไม่มีทางได้ใจคนทั่วไปหรอก อย่างมากมีเพียงแค่ลิ่วล้อที่แวดล้อมประจบประแจงเพื่อหวังประโยชน์เท่านั้น และที่ผ่านมาเขาไม่เคยสรุปบทเรียน ที่สำคัญไม่เคยยอมรับความจริง มันก็ลำบาก
ดังนั้น ถ้าให้สรุปในตอนท้ายหลังจากเมื่อพิจารณาจากตัวบุคคลที่อาสาพา ทักษิณ ชินวัตร กลับบ้าน ด้วยการออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ล้างความผิด ทั้ง เฉลิม และ เสนาะ แล้วบอกได้คำเดียวว่า จะอ๊วก เกิดความรู้สึกว่าเหมือนถูกตบหน้าเหยียดหยามอย่างแรง แต่ถึงอย่างไรก็ต้องรอดูว่าจะลากไปได้แค่ไหน เพราะอารมณ์ของคนไทยบางครั้งก็เข้าใจยากเหมือนกัน ขนาดเห็นคนถูกทำร้ายตรงหน้ายังทำเมินเดินหนีแบบธุระไม่ใช่ก็มีให้เห็นกันเกลื่อน!!